บทที่ ๒
หลักการเจริญสมาธิในพระไตรปิฎก
พระคัมภีร์สุตตันตปิฎก ได้อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับหลักการเจริญสมาธิไปตามลำดับ จนถึงขั้นสูงสุด คือการบรรลุพระนิพพาน พระสูตร ๑๓ สูตรแรกในฑีฆนิกายได้พรรณนา หลักการฝึกจิตของพระสาวกทั้งหลาย โดยกล่าวถึงหลัก ๓ ประการ ตามลำดับ
ประการที่ ๑ คือศีล ซึ่งเป็นการฝึกเบื้องต้น
ประการที่ ๒ คือ สมาธิ และ
ประการสุดท้ายคือ ปัญญา ซึ่งเป็นหนทางที่จะบรรลุพระนิพพาน อันเป็นเป้าหมายที่ปรารถนากัน
ในพรหมชาลสูตร (พระสูตรที่ว่าด้วยความคิดเห็นจำนวนมากดุจตาข่าย) ซึ่งกล่าวถึง ความเข้าใจผิดขั้นพื้นฐาน ๖๒ อย่าง เกี่ยวกับอัตตาและโลก เราพบคำว่า “เจโตสมาธิ” คือสมาธิที่เกิดในจิต ซึ่งจะให้ผลอันสูงสุดเหนือธรรมดา เช่นความสามารถในการระลึกชาติในอดีตได้ เป็นต้น
ความในพระสูตรนี้มีว่าฤๅษีหรือพราหมณ์ผู้หนึ่ง ด้วยความมุ่งหวังอันสูงส่ง ด้วยความพยายามอันแรงกล้า ด้วยการใช้สติปัญญา และด้วยการเอาใจใส่อย่างดีได้บรรลุสมาธิ คือเจโตสมาธิถึงขั้นที่ว่า เมื่อเขามีจิตเป็นสมาธิเขาจะระลึกชาติต่างๆ ในอดีตได้มากมาย
แต่จากสมาธิชนิดนี้เขาได้ข้อสรุปที่ผิดๆ ว่า อัตตา และโลก เป็นสิ่งถาวรหรือไม่ก็จะ ต้องแตกสลายไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น สมาธิชนิดนี้จะต้องถือว่าเป็นสมาธิที่ไม่สมบูรณ์ตามแนว ความคิดในพระพุทธศาสนา เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดตามที่ท่านกล่าวไว้ในพระสูตร
สมาธิที่แท้จริง ซึ่งชาวพุทธยอมรับว่าถูกต้อง คือ สัมมาสมาธิ ซึ่งท่านกล่าวไว้ใน พระสูตรที่สอง คือ สามัญญผลสูตร ดังนี้
สามัญญผลสูตรนี้ แสดงถึงประโยชน์แห่งชีวิตที่มีการเพ่งพินิจสำหรับนักพรตประเภท ที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนายกมาเป็นตัวอย่างยิ่งกว่านั้นพระสูตรนี้ยังเป็นหลักฐานในการก่อตั้ง องค์กรพระสงฆ์ และยังแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีกฎข้อบังคับสำหรับปฏิบัติตามที่ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ เพื่อเป็นแนวดำเนินชีวิตที่มีระเบียบวินัยตามหลักพระพุทธศาสนา ที่ว่า “เขาอาจได้รับผลดีมีประโยชน์และควรแก้ความพยายามของเขา”
พระสูตรนี้ใช้ภาษาสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้า กับพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า อชาตศัตรูผู้เสด็จมาเยือนพระพุทธองค์เพื่อทูลถามปัญหา พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชประสงค์ จะทรงทราบว่า พระพุทธเจ้ามีความสามารถหรือไม่ที่จะทรงแสดงผลที่เห็นประจักษ์ในชีวิตของ ผู้เป็นสมณะอย่างที่พบในการประกอบอาชีพทางโลก
ในการตอบปัญหาของพระเจ้าอชาตศัตรูในเบื้องแรก พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึง อานิสงส์ทั่วๆ ไปแห่งชีวิตของสมณะผู้ฝึกตนเป็นอย่างดีและมีความเป็นใหญ่ในตน แล้วดำเนินตนเพื่อได้รับประโยชน์สูงขึ้นและมากขึ้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผลและประโยชน์ที่แท้จริงใน ชีวิตของพระสาวกของพระองค์ขึ้นอยู่กับการฝึก ๓ อย่าง คือ ศีล ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้น สมาธิ ซึ่งเป็นอันดับที่สองและปัญญาซึ่งเป็นทางไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสาสวะในที่สุดเป็นอันดับที่สาม ทรงอธิบายเพิ่มเติมต่อไปถึงหลัก ๓ ประการนี้ จนถึงที่สุด คือ จุดที่จะบรรลุพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสมบูรณ์แห่งสัญญาที่ทรงประทานไว้แก่สมณะผู้ปฏิบัติตามแบบแห่งการฝึกตน ดังกล่าว
พระสูตรกล่าวไว้อีกว่า พระสาวกจะต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์ในศีล จะต้องสำรวมระวังอายตนะภายในทั้งหลาย จะต้องมีสติสัมปชัญญะ พึ่งตนเอง และมีความสันโดษ
หลังจากทำจุดประสงค์ทั้ง ๔ อย่างนี้ให้บริบูรณ์แล้ว พระสาวกจะต้องแสวงหาที่อยู่ที่ เหมาะสมสำหรับการเจริญสมาธิ คือที่ที่สงบในป่า ที่โคนต้นไม้ บนยอดภูเขา ที่เชิงเขาในถ้ำหิน ในป่าช้า ในสนามกลางแจ้ง หรือในกระท่อมฟาง
ในขณะที่เลือกสถานที่ที่สงัดเช่นนั้น และอาศัยอยู่ในที่นั้น พระสาวกควรเริ่มเจริญ สมาธิโดยวิธีต่อไปนี้ หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ควรนั่งขัดสมาธิตัวตรง แล้วควบคุมสติ ให้อยู่กับตนเอง จดจ่อและระวังอยู่เสมอ พระสาวกควรทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์ทั้งห้า คือกาม ฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา
เมื่อพระสาวกเข้าใจว่านิวรณ์ทั้ง ๕ ประการนี้ได้ถูกขจัดออกไปจากเขาแล้ว ความอิ่มเอิบใจจะเกิดขึ้น เมื่อเขารู้สึกอิ่มเอิบใจ ปิติก็จะเกิดขึ้น เมื่อจิตของเขาได้ปิติ ร่างกายของเขา จะสงบ ความสงบจะก่อให้เกิดความสุข และด้วยความรู้สึกว่าเป็นสุข จิตของเขาจะขึ้นสู่สมาธิ นี้เป็นการเริ่มต้นของสมาธิ ซึ่งจะนำไปสู่ขั้นฌาน เมื่อจิตของเขาปราศจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ แล้ว เขาย่อมบรรลุฌานขั้นต้น คือ ปฐมฌาน
ตามแนวที่อธิบายในที่นี้ ฌานมี ๔ ขั้น การพัฒนาสูงขึ้นของฌานท่านแสดงไว้ ในสูตรต่อไปนี้ ซึ่งจัดตามระดับที่สูงขึ้น คือ สมาธิย่อมเข้มข้นขึ้นแต่ละระดับ จนกระทั่งเกิด สมาธิอันตั้งมั่น
สูตรสำหรับปฐมฌาน มีดังนี้
๑ หลังจากทำจิตให้ปราศจากความปรารถนาทางกามและความพยาบาทแล้ว พระสาวกย่อมบรรลุปฐมฌาน ยังมีวิตก (ความตรึก) วิจาร (การสอบสวน) ปิติ (ความยินดี) และสุข (ความมีจิตเบิกบาน) ซึ่งเกิดจากการแยกตัวอยู่ในที่สงัด
ขณะอยู่ในฌานชั้นนี้ พระสาวกจะมีน้ำตาคลอ มีความซาบซ่านไปทั่วร่างกาย พร้อมกับ มีความยินดีและความสุขอันเกิดจากการอยู่ในที่สงัด และไม่มีสิ่งใดในร่างกายของเขาที่จะไม่ สัมผัสกับความสุขนั้น
ปฐมฌานย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับการขจัดนิวรณ์ทั้ง ๕ ออกไป ซึ่งนิวรณ์เหล่านี้ มีกามและอกุศลธรรมเป็นหัวหน้ารวมตัวขึ้น พระสาวกจะเจริญสมาธิต่อไปด้วยความมุ่งหมาย ที่จะบรรลุฌานที่สองซึ่งมีสูตรดังต่อไปนี้
๒ อนึ่ง ด้วยการขจัดวิตกและวิจารเสียได้ในสภาพที่สงบในภายใน มีความเป็นหนึ่ง แห่งจิต ผู้ปฏิบัติย่อมบรรลุทุติยฌาน คือฌานที่สอง และอยู่ในฌานนั้น มีปิติ และความสุขอัน เกิดจากสมาธิ และพระสาวกจะมีน้ำตาคลอ มีความซาบซ่านไปทั่วร่างกาย พร้อมกับปิติ และความสุขจากสมาธิ และไม่มีสิ่งใดในร่างกายที่จะไม่สัมผัสกับความสุขนั้น
เกี่ยวกับฌานที่สองนี้ท่านก็ใช้คำว่า “สมาธิ” ดังนั้นจึงบ่งชี้ว่าฌานที่สองนี้เกิดมาจาก สมาธิของฌานที่หนึ่งโดยแท้ ในขั้นนี้วิตกและวิจารหมดสิ้นไป และพระสาวกผู้ปฏิบัติจะก้าวขึ้น สีฌานที่สาม ซึ่งมีสูตรดังนี้
๓ อนึ่ง เพราะปิติสิ้นไป พระสาวกผู้ปฏิบัติย่อมมีความวางเฉย มีสติ และสำรวมตนเอง และมีความสุข ย่อมบรรลุฌานที่สาม เป็นผู้ที่พระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์สรรเสริญว่ามี ความสุขอยู่ในอุเบกขาและมีสติมีร่างกายซาบซ่านไปด้วยความสุขที่ปราศจากปิติและพระสาวก มีน้ำตาคลอ มีความซาบซ่านไปทั่วร่างกาย พร้อมกับมีความสุข ที่ปราศจากปิติ และไม่มีส่วนใดของร่างกายที่จะไม่สัมผัสกับความสุขอันปราศจากปิติ
ในฌานขั้นนี้ จิตของพระสาวกผู้ปฏิบัติย่อมมีอุเบกขา และจากอุเบกขานี้ ปิติ ย่อมหมดสิ้นไป แม้ว่าจะยังมีความรู้สึก เป็นสุข ซึ่งคล้ายกับปิติอยู่ก็ตาม ดังนั้น พระสาวกผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้น เพื่อหลุดพ้นจากความสุขนั้น เมื่อได้พยายามบำเพ็ญเพียรจนบรรลุ จุดมุ่งหมายย่อมได้บรรลุฌานที่สี่ซึ่งเป็นยอดสูงสุดแห่งสมาธิจิตตามรูปแบบแห่งการเจริญสมาธิ
สูตรสำหรับฌานที่สี่มี ดังนี้
๔ อนึ่ง ด้วยการขจัดเสียซึ่งความสุข ความทุกข์ รวมทั่งการสิ้นไปแห่งความยินดี และความยินร้าย พระสาวกผู้ปฏิบัติย่อมบรรลุฌานที่ที่ ซึ่งไม่มีทั้งทุกขเวทนา และสุขเวทนา มีสติที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์ ซึ่งเกิดจากอุเบกขา ดังนั้น จึงดำรงอยู่ด้วยร่างกายอันซาบซ่านไป ด้วยจิตที่สะอาดและบริสุทธิ์ และไม่มีส่วนใดของร่างกายจะไม่สัมผัสกับจิตนั้น
ในฌานสมาธิขั้นนี้ มีธาตุเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเหลืออยู่ ซึ่งได้แก่ความว่องไวแห่งจิต อันบริสุทธิ์ อันเกิดมาจากความสุขุมอันปราศจากการรบกวนทุกอย่าง เมื่อบรรลุสภาพของจิต ระดับนี้แล้ว พระสาวกผู้ปฏิบัติตามวิธีฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนาจะเป็นผู้กระฉับกระเฉงไม่คิดเรื่องอื่นใด อยู่ในสภาพแห่งฌานที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับในลัทธิอื่น ในตัวอย่างนี้ พระสาวก ย่อมเป็นคนมีความว่องไวยิ่งขึ้น เพราะสมาธิขั้นนี้ทำให้จิตแจ่มใสและว่องไว ซึ่งเป็นจิตที่ บริสุทธิ์จากกามกิเลส แรงกระตุ้นและอารมณ์หวั่นไหวทุกอย่าง เมื่ออยู่ในภาวะเช่นนี้ จิตของผู้ปฏิบัติจะเป็นจิตเหมาะสมที่จะได้รับพลังจิตอันเหนือธรรมดา แล้วได้รับอานิสงส์จากฌานอัน เกิดจากการฝึกสมาธิ และจากปัญญาซึ่งท่านกล่าวไว้ในพระสูตร
ขณะนี้พระสาวกได้บรรลุถึงจุดหนึ่ง ซึ่งจะเกิดมีปัญญาญาณขึ้น อันเป็นผลที่สูงและเห็นได้ในชีวิตแห่งความเป็นสมณะของตน
ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ แจ่มใส ปราศจากมลทิน ปราศจากสิ่งมัวหมองทั้งหลาย หมดพยศ พร้อมที่จะทำงาน มั่นคงไม่กระวนกระวาย พระสาวกผู้ปฏิบัติย่อมหันไปใช้จิตนั้น เพื่อให้ได้ความรู้ ซึ่งประกอบด้วยความรู้ขั้นสูง และความรอบรู้ เรียกว่า อภิญญา ในขณะที่ ดำเนินต่อไปในสมาธิในฌานที่สี่นั้น พระสาวกผู้ปฏิบัติย่อมได้พลังทางจิตอันเหนือมนุษย์วิสัย คืออิทธิฤทธิ์ รวมถึง สามารถนิรมิตรูปอันหนึ่งขึ้นในจิตของตนซึ่งเรียกว่า นามกาย จากร่างกายของตนได้”
พระโยคาวจรผู้ปรารถนาจะได้รับความรู้ที่สมบูรณ์พิจารณาร่างกายของตนและมีความรู้ประจักษ์ว่า “ร่างกายนี้ของข้าพเจ้าเป็นวัตถุ มีธาตุ ๔ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด มีอาหาร เป็นเครื่องบำรุงเลี้ยง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีอาการเจ็บปวด จะต้องแตกสลายไปในที่สุด และจิตวิญญาณดวงนี้ย่อมได้รับความสนับสนุนจากร่างกายนี้ และผูกพันอยู่กับร่างกายนี้”
ความคิดคำนึงเช่นนี้ ทำให้ความรู้และความเห็นแจ้ง (ญาณทัสนะ) เจริญยิ่งขึ้น และด้วยความรู้และความเห็นแจ้งดังนี้ พระสาวกย่อมรู้แจ้งเห็นจริงถึงธรรมชาติของร่างกาย เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงซึ่งก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายและช่วยให้เขาเอาชนะความกลัวซึ่งเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายได้
พระสาวกย่อมได้รับพลังในการฟังและกล่าวกันว่าเป็นผู้มีหูทิพย์ ซึ่งสามารถได้ยินเสียง ที่อยู่ไกลได้ทั้งเสียงมนุษย์และเสียงบนสวรรค์ พระสาวกย่อมสามารถรู้สภาพจิตของคนอื่นได้ สามารถเข้าใจว่าจิตของคนใดคนหนึ่งกำลังถูกกิเลสครอบงำหรือสงบ โกรธ หรืออ่อนโยน ย่อมเข้าใจว่าสภาพของจิตเป็นอย่างไร
หลังจากบรรลุถึงฌานขั้นนี้แล้ว พระสาวกสามารถพัฒนาความรู้ คือวิชา ๓ ได้แก่
๑ การควบคุมจิตของตน ซึ่งมีสมาธิ บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งมัวหมองจนถึงขั้นสามารถรู้ชีวิตในอดีตของตนได้ระลึกชาติได้อย่างละเอียดถี่ล้วน และสอบสวนถึงความมืดมนในยุคต่างๆ ในอดีตได้
๒ ต่อไปจะควบคุมจิตของตนจนถึงขั้นสามารถรู้การตายและการเกิดของมนุษย์ทั้งหลาย แต่ละคนได้ สามารถเห็นคนตายและเกิดใหม่ในภพต่างๆ ได้ด้วยตาทิพย์อันเหนือวิสัยมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นภพที่สูงหรือต่ำ ภพที่มีความสุขหรือภพที่มีความทุกข์ รวมถึงผลแห่งกรรมดีและ กรรมชั่วชนิดต่างๆ ของมนุษย์เหล่านั้น
๓ ในที่สุดจะควบคุมจิตของตนถึงขั้นมีความรู้เรื่องการทำลายกิเลสทั้งหลาย รู้แจ้งเห็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดแห่งทุกข์ นี้การดับทุกข์ นี้ทางไปสู่ความดับทุกข์และ ในที่สุดจะเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า นี่คืออาสวะทั้งหลาย นี้เหตุเกิดแห่งอาสวะทั้งหลาย นี้การดับอาสวะทั้งหลาย นี้ทางไปสู่ความดับอาสวะทั้งหลาย เมื่อพระสาวกรู้แจ้งและเห็นจริงเช่นนี้ จิตของท่านจะพ้นจากอาสวะทั้งหลาย จากกามตัณหา จากภวตัณหา และจากอวิชชา ท่านรู้ว่า ตนพ้นจาก กิเลสทั้งหลาย รู้ว่าจะไม่มีการเกิดอีกแล้ว ท่านดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว ในภพนี้ไม่มีอะไร จะต้องทำอีกแล้วสำหรับท่าน
นี้เป็นขั้นสุดท้ายแห่งปัญญา ซึ่งนำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ คือการบรรลุพระนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายแห่งการฝึกฝนอบรมตนของพระสาวก ไม่มีผลที่จะเห็นได้โดยตรงอันใดสูงกว่า ประเสริฐกว่า หรือน่าปรารถนามากกว่านี้อีกแล้ว
เป็นอันจบหลักสูตรการฝึกสมาธิตามที่ท่านอธิบายไว้ในสามัญญผลสูตร และหลักสูตร นี้เป็นหลักสูตรเบ็ดเสร็จในการฝึกฝนอบรมตนของพระพุทธสาวก หลักการฝึกสมาธิตามที่ท่านอธิบายไว้ในพระสูตรนี้ครอบคลุมถึงฌานทั้ง ๔ วิธีเจริญวิปัสสนา (ญาณทัศนะ), อำนาจจิต, (อิทธิ), วิชชา ๓ อย่าง และวิมุตติ
เราจะพบว่าในพระสูตรอื่นๆ ของปฐมวรรคแหงทีฆนิกาย ท่านใช้คำเช่นเดียวกัน อธิบายวิธีและหลักที่กล่าวนี้ แต่การนำมาใช้จะแตกต่างกัน ในอัมพัฎฐสูตร ท่านอ้างถึงการฝึก ศีลและสมาธิว่า ได้แก่ วิชชาและจรณะ คือความรู้และความประพฤติ และเปรียบเทียบ ให้เห็น ความแตกต่างจากกฎแห่งความบริสุทธิ์ของสังคมและความบริสุทธิ์ทางพิธีการอันไว้เหตุผล ซึ่งชายหนุ่มชื่ออัมพัฏฐะได้โต้แย้งอย่างยืดยาว
ในโสณทัณฑสูตร ท่านกล่าวไว้ว่า ศีลทำให้ปัญญาบริสุทธิ์ และปัญญาทำให้ศีลบริสุทธิ์ โดยเน้นหนักถึงความสัมพันธ์กันระหว่างศีลกับปัญญา และความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกตน ให้มีศีล ก่อนเริ่มปฏิบัติสมาธิ
ในกูฏทัณฑสูตร ท่านกล่าวถึงวิธีการปฏิบัตินี้ว่าเป็นแบบแห่งการเสียสละ (ยัญญะ) ซึ่งยาก และลำบากน้อยลง แต่มีผลอันยิ่งใหญ่ และมีคุณประโยชน์มากกว่าการบูชายัญ ซึ่งพวก พราหมณ์ปฏิบัติกัน
ในมหาลิสูตร ท่านกล่าวถึงวิธีนี้เมื่อพูดถึงเรื่องสมาธิภาวนา (คือการฝึกสมาธิ) และกล่าวว่าเมื่อฝึกไปบางส่วนก็จะก่อให้เกิดตาทิพย์และหูทิพย์ขึ้นตามที่จะพบได้ในลัทธิอื่น แต่จุดหมาย ของพระภิกษุก็เพื่อเจริญสมาธิ พร้อมกับมรรคมีองค์แปด เพื่อทำลายสังโยชน์ ๑๐ อย่าง และได้รับผลที่หวังจากชีวิตทางศาสนาของตน พระภิกษุผู้ปฏิบัติโดยวิธีนี้ย่อมขจัด ปัญหาที่ว่าชีวิตและร่างกายเป็นสิ่งเดียวกันหรือต่างกันเสียได้(ตํ ชีวํ ตํ สิรีรํ อญญํ ชีวํ อญญํ สิรีรํ)
ในชาลิยสูตรทีฆนิกาย ท่านได้กล่าวถึงวิธีนี้ไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อปฏิบัติตามวิธีนี้ได้ แล้วก็จะสามารถขจัดความเห็นนอกพระพุทธศาสนาทุกประเภทที่เกี่ยวกับวิญญาณ ชีวิต และ ร่างกายเสียได้
ในกัสสปสีหนาฑนทสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงระบุประเด็นต่างๆ ซึ่งทรงเห็นด้วยบางส่วน และไม่ทรงเห็นด้วยบางส่วนกับครูทางศาสนาทั้งหลายในประเด็นเหล่านี้ ครูเหล่านั้นอธิบาย ประเด็นเหล่านี้ว่าเป็นติวิธสัมปทา คือความสำเร็จ ๓ อย่างซึ่งไม่ตรงกับหลักในพระพุทธศาสนา และมีกล่าวไว้ด้วยว่า แม้จะประพฤติวัตร (ตบะ) ที่แรงกล้าแบบต่างๆ บุคคลก็จะไม่ได้รับผล แห่งการปฏิบัติหรือการประพฤติเช่นนั้นถ้า ศีล สมาธิ และปัญญาไม่สมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้น ในพระสูตรนี้เราพบอารมณ์กรรมฐานในข้อความที่ว่า สมณะหรือพราหมณ์ที่แท้จริงได้แก่ผู้ที่เจริญเมตตาธรรมสากลและไม่มีขอบเขต แผ่ไปยังสัตว์ทุกหมู่เหล่า และโดยวิธีนี้ย่อมได้ความรู้ ที่เต็มเปี่ยมและความหลุดพ้นในที่สุด
โปฎฐปาทสูตรทีฆนิกาย ซึ่งเริ่มอภิปรายถึงขั้นตอนต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงไปแห่ง วิญญาณ ในรูปแบบของฌาน และด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีวิญญาณ ได้ชี้แจง ถึง ลักษณะที่วิญญาณพิเศษประเภทหนึ่งเกิดขึ้นจากผลแห่งการฝึกจิตในแนวความคิดอันหนึ่ง แต่แนวความคิดอีกอันหนึ่งก็หมดไปการฝึกเช่นนี้สอดคล้องกับการฝึกมีองค์๓ตามที่ท่านอธิบาย ไว้ในสามัญญผลสูตร และสภาพของฌาน ๔ อย่างท่านก็กล่าวถึงในที่นี้ด้วย ฌานแต่ละอย่าง ย่อมเป็นการศึกษารูปแบบหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่า โดยการละทิ้งแนวความคิดอันหนึ่ง จิต ย่อมบรรลุถึงแนวความคิดอีกอันหนึ่งในขณะก้าวไปตามขั้นต่างๆ ของฌาน นอกจากฌานทั้ง ๔ เหล่านี้แล้ว ในพระสูตรนี้ยังมีอรูปฌานอีก ซึ่งเป็นการพัฒนามากยิ่งขึ้น และอรูปฌานทั้ง ๔ นี้ ท่านกล่าวว่าเป็นสมาบัติคือการบรรลุซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกมีองค์สามนั้น ข้อนี้ก่อให้เกิดลักษณะ สำคัญของสมาธิเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะได้ศึกษาต่อไป
ในศุภสูตรทีฆนิกาย พระอานนท์ได้อธิบายถึงการฝึกซึ่งมีองค์๓ นี้ แก่ชายหนุ่มนามว่า ศุภะ บุตรของโตไทยพราหมณ์โดยจัดเป็นหัวข้อคือ ศีลสมาธิและปัญญา ซึ่งเป็นหมวดสำคัญของ อริยธรรม และคำที่ใช้เกือบจะสอดคล้องกับคำในสามัญญผลสูตร จุดมุ่งหมายของพระสูตรนี้ ก็ เพื่ออธิบาย ว่าพระพุทธเจ้าทรงฝึกสาวกของพระองค์ได้อย่างไร เพื่อให้บรรลุถึงความพ้นทุกข์
ในเกวัฑฑสูตร หรือเกวัฎฎสูตรทีฆนิกาย ท่านกล่าวว่าวิธีการฝึกสมาธิ ๓ อย่างนี้ ว่าเป็นเพ็ชรเม็ดใสที่สุดในกระเช้าดอกไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้มนุษยชาติ ซึ่งช่อดอกไม้นี้ พระองค์ทรงได้มาจากการตรัสรู้
ในโลหิจจสูตรฑีฆนิกาย ท่านกล่าวถึงวิธีนี้ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก จุดตำหนิ ในขณะที่อยู่ภายใต้คำแนะนำของครูผู้สอบวิธีฝึกสมาธิอันประเสริฐเช่นนั้น พระสาวก ทั้งหลาย ย่อมบรรลุความสมบูรณ์ หลังจากได้บำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญามาอย่างดี
ในเตวิชชสูตรฑีฆนิกาย ซึ่งกล่าวถึงทางหลายสายที่พวกพราหมณ์ผู้นับถือพระเวทยอมรับว่าเป็นทางนำไปสู่การอยู่ร่วมกับพระพรหม ท่านได้อธิบายไว้ว่า วิธีการฝึกอบรมของพระพุทธเจ้าเป็นทางที่ถูกต้องที่จะนำไปสูจุดมุ่งหมายได้ ถ้าผู้ปฏิบัติปรารถนาจะไปถึงพรหมโลก
เราพบวิธีเดียวกันนี้ในคำสอนหมวดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ในพระสูตรที่อธิบายถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และที่อธิบายถึงวิธีการฝึกอบรมตน เมื่อท่านอธิบายโดยละเอียด ถึงวิธีการฝึกสมาธิ ประโยชน์ของสมาธิและการบรรลุธรรม ท่านจะยก ข้อความมาอ้างอิงจำนวนมาก
พระวินัยปิฎกเมื่อบัญญติหลักศีลซึ่งเป็นส่วนแรกของการฝึกมีองค์ ๓ คือศีลขึ้นมานั้น ได้กำหนดระบบของวินัยซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับสมาธิขึ้น ในบรรดากฎข้อบังคับซึ่งตั้งขึ้น เพื่อเป็นแนวทาง สำหรับพระภิกษุสงฆ์นั้น กฎข้อที่ ๔ ของปาราชิกกล่าวถึงหลักแห่งสมาธิ กฎข้อนี้มีว่า พระภิกษุสงฆ์รูปใดก็ตามแสร้งทำเป็นผู้ใต้บรรลุคุณธรรมที่เหนือมนุษย์ธรรมดา (อุดตริมนุสสธรรม) ซึ่งเป็นการบรรลุวิปัสสนาญาณอันวิเศษ เหนือการบรรลุของคนธรรมดาจะ ต้องถูกขับไล่ออกจากองค์การคณะสงฆ์
ในสุตตวิภังค์พระวินัยปิฎกท่านแบ่งอุตริมนุสธรรมออกเป็น ๑๐อย่าง โดยละเอียดดังนี้
๑ ฌาน คือ ฌาน ๔ ประเภท
๒ วิโมกข์ คือ การหลุดพ้นมีองค์ ๓ หลุดพ้นจากความเข้าใจผิดเรื่องอัตมันจากความเข้าใจผิดว่าถูกต้องเที่ยงแท้แน่นอน และจากความทะเยอทะยานเพื่อได้ มาซึ่งวัดลุอันก่อให้เกิดโลภ โกรธ และหลง
๓ สมาธิ คือ สมาธิมีองค์ ๓ได้แก่สมาธิที่ได้บรรลุโดยอาศัย วิปัสสนาญาณความรู้แจ้ง ในความไม่มีวิญญาณ ความเปลี่ยนแปลงและความเจ็บปวดในสิ่งที่มีอยู่ในโลก
๔ สมาบัติ คือ การบรรลุมีองค์ ๓ เหมือนสมาธิ
๕ ญาณทัศนะ คือ ความรู้และความรู้แจ้ง มี ๓ อย่าง คือ ความรู้แจ้งเรื่องอดีตชาติ ความรู้แจ้งเรื่องการตาย และการเกิดใหม่ของสัตว์ทั้งหลาย และความรู้แจ้งเรื่อง การขจัดอาสวะ ทั้งหลาย
๖ มัคคภาวนา คือ การสร้างคุณธรรมที่จะให้ได้ตรัสรู้ ๓๗ อย่าง (โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ)
๗ ผลสัจฉิกิริยา คือการรู้แจ้งซี่งผลของมรรค ๔ อันจะนำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์
๘ กิเลสัปปหานคือการละความชั่ว คือโลภ โกรธ และหลง
๙ วินีวรณตา คือ ความไม่มีนิวรณทั้งหลาย
๑๐ สุญญาคาเร อภิรติ คือ ความยินดีในการบำเพ็ญฌานในที่ว่างเปล่า หัวข้อเหล่านี้ที่ท่านกล่าวไว้ในพระวินัยปิฎก ประกอบด้วยหลักแห่งสมาธิทุกอย่างและ การเอ่ยถึงหลักเหล่านี้จัดเป็นหลักฐานอันสำคัญ
ในการพิจารณาข้ออ้างที่ว่าหลักแห่งสมาธิท่านได้อธิบายไว้แล้วในขั้นต้นๆ ของพระพุทธศาสนา
ในพระอภิธรรมปิฎก ท่านได้อธิบายหลักแห่งสมาธิไว้ในแง่ของจิตวิทยา และโดย เฉพาะอย่างยิ่งในคัมภีร์ธรรมลังคณี ท่านได้อธิบายไว้โดยวิธีเดียวกันกับการปฏิบัติเกี่ยวกับการวิเคราะห์วิญญาณที่สูงขึ้น ในคัมภีร์พระวิภังค์มีบทหนึ่งเป็นเอกเทศเรียกชื่อว่า ญาณวิภังค์ แต่ในเวลาเดียวกัน ท่านได้อธิบายวิธีฝึกเบื้องต้นและฌานทั้ง ๘ ขั้น โดยอ้างถึงคำสอนในพระสูตรและพระอภิธรรมทั้ง ๒ อย่าง
ดังนั้น หลักแห่งสมาธิที่ท่านอธิบายไว้ในพระไตรปิฎก จึงแบ่งออกเป็นส่วนใหญ่ๆ ๘ ส่วน คือ ฌาน, วิโมกข์, สมาธิ สมาบัติ, วิปัสสนา, มรรค, ผล และนิพพาน
ในการอภิปรายเรื่องนี้ต่อไป จะกล่าวถึงการพัฒนาหลักเหล่านี้ตามที่ท่านอธิบายไว้ใน คำสอน ตามพระคัมภีร์ทั้งหลาย
สารบัญ