บทนำ
โดย นาย ฟรานซิส สตอริ (Francis Story) อนาคาริก สุคตานันทะตำราว่าด้วยระบบพัฒนาตนเองที่สอนไว้ในศาสนาฮินดูมีจำนวนมาก และโลกตะวันตกได้เรียนรู้ลักษณะบางอย่างและคุณค่าของระบบเหล่านั้นว่า เป็นกระบวนการใช้อำนาจจิตเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม ระบบการเจริญสมาธิซึ่งชาวพุทธปฏิบัติกันนั้นเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก แม้จะเป็นความจริงที่ว่ารูปแบบพิเศษแห่งการพัฒนาจิตเป็นปัจจัยที่แน่นอน ที่สุดอย่างหนึ่งในการหล่อหลอมชีวิตตามแนวศาสนาของชาวตะวันออกระหว่าง ๒๐๐๐ ปีที่ผ่านมา
เหตุผลข้อหนึ่งในการขาดความรู้ที่แน่นอนในเรื่องสำคัญนี้ก็คือ การบรรลุผลตาม ข้อมูลที่แท้จริงนั้นทำได้ยาก สมาธิหรือภาวนาเป็นส่วนแห่งธรรมในพระพุทธศาสนา และเป็น ภาคปฏิบัติที่แยกไม่ได้และทั้งจะศึกษาแยกกันก็ทำไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันในศาสนาฮินดู ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในภาวนามีกระจายอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ซึ่งก่อให้เกิดกลุ่มนักวรรณกรรมภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตขึ้น วรรณกรรมเหล่านี้จำนวนน้อยมากที่ได้มีการแปลเป็นภาษาอื่น ดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับวรรณกรรมเหล่านี้จะหาได้เฉพาะในกลุ่มบุคคลที่สามารถศึกษาต้นฉบับเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ผู้อ่านจะต้องคลุกคลีอยู่กับหลักคำสอนใน พระพุทธศาสนาขั้นพื้นฐานก่อนที่จะเข้าใจจุดประสงค์ของการฝึกสมาธิ และเขาจะต้องเรียนรู้ คำเฉพาะบางคำเป็นอย่างดี ซึ่งจะต้องคงรูปศัพท์เดิมไว้โดยไม่ต้องแปลเมื่อไม่มีคำที่มีความหมายตรงกัน ความเข้าใจของชาวพุทธเรื่องกิจกรรมทางจิต และธรรมชาติของวิญญาณตามที่พบในพระคัมภีร์อภิธรรม มีความแตกต่างกันอย่างมากจากความเข้าใจเรื่องวิญญาณ หรือ อัตตาที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในกลุ่มชนชาวตะวันตก ในพระพุทธศาสนาเราไม่กล่าวว่าจิต มีตัวตน แต่เราจะกล่าวว่าจิตเป็นการไหลเวียนแห่งกระบวนการทางจิต และคำที่ใช้ไม่มีคำที่ เป็นไวพจน์กันในแนวความคิดของชาวตะวันตก ดังนั้นผู้แปลจำเป็นจะต้องสร้างคำพิเศษขึ้นเอง ในขณะแปลหรือไม่ก็ใช้คำภาษาบาลี หรือภาษาสันสกฤตไปเลย เมื่อไม่มีภาษาอื่นให้ใช้ เมื่อไม่มีทางเลือกใดๆ ที่น่าพอใจ ผู้อ่านจะต้องเป็นผู้สามารถปรับตนเองให้เข้ากับแนวความคิด ซึ่งตนไม่คุ้นเคยมาก่อน
คำว่า “อภิธรรม” ตามศัพท์แปลว่า “กฎหรือธรรมชั้นสูง บ่งบอกถึงระบบ ซึ่งจะเรียกว่าปรัชญาก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าอภิปรัชญาตามที่เข้าใจกันในที่อื่นก็ไม่เชิง พระอภิธรรมเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก ซึ่งกล่าวถึงแง่มุมแห่งจิตวิทยาชั้นสูง ประกอบไปด้วยการวิเคราะห์ อย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสภาวะแห่งวิญญาณมากมายไม่เฉพาะแต่ที่เกี่ยวกับโลกภายนอกเท่านั้น แต่เกี่ยวกับสาระสำคัญยิ่งของภาวะ คือความมีความเป็นซึ่งแสดงออกมาในความหมายว่า “กฎแห่งจริยธรรม” อภิธรรมเป็นอภิปรัชญาขนาดที่ว่าเกิดขึ้นจากวิปัสสนาญาณอันลึกซึ้ง แต่ไม่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเหนือธรรมชาติแห่งภาวะ การยืนยันใดๆ ที่สร้างขึ้นนั้นเปิดโอกาสให้ บุคคลตรวจสอบได้ภายในขอบข่ายแห่งประสบการณ์ของมนุษยชาติ ในเวลาเดียวกันก็ไม่มี ความคล้ายคลึงกับปรัชญาตะวันตกซึ่งมีหลักการคาดคะเนปะปนอยู่ บางทีเราอาจเปรียบเทียบ ระหว่างพระอภิธรรมกับจิตวิทยายุคใหม่ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ในที่นี้ควรกล่าวถึงความแตกต่างกันที่สำคัญ ๒ อย่าง อย่างแรก คือว่าพระอภิธรรมนั้นใช้แทนข้อสมมติฐานอันไม่ต้องพิสูจน์ เพราะมีความรู้ที่ตรงและแน่นอน อย่างที่ ๒ คือว่า พระอภิธรรมย่อมให้พื้นฐานทางจริยธรรม แก่จิตวิญญาณของมนุษยชาติ ทั้ง ๒ อยู่ในลักษณะที่เป็นแรงเฉื่อยและความฉับไว
เพื่อที่จะน่าเอาความหมายที่แท้จริงของคำว่า “อภิธรรม” มาแสดงให้เห็นจำเป็น จะต้องใช้คำว่า “จิตวิทยาแนวจริยธรรม” แทนคำตามตัวอักษรที่ว่า “กฎชั้นสูง” “กฎที่เลิศ” แต่ในการยอมรับคำจำกัดความเช่นนั้น ยังจะต้องคำนึงว่า พระอภิธรรมนั้นได้รับการสถาปนาขึ้นตามหลักสากล ซึ่งแผ่ขยายไปเหนือขอบเขตแห่งจิตวิทยาของมนุษยชาติ นั่นก็คือหลัก ปฏิจจสมุปบาท ดังนั้น ในการทิ้ง “กฎที่เลิศ” เสีย แนวความคิดบางอย่างย่อมสูญเสียไป การเข้าใจหลักปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้อ่านที่ประสงค์จะเข้าใจหลักจิตวิทยา แห่งสมาธิในพุทธภาวนา
วิทยานิพนธ์ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมที่สุดในเรื่องนี้ได้แก่คัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งแต่งในประเทศศรีลังกา ประมาณพุทธศักราช ๙๖๕ หนังสือเล่มนี้เป็นงาน ระดับอรรถกถาชั้นมาตรฐานของฝ่ายเถรวาท หลักฐานในหนังสือเล่มนี้ยึดคำสอนดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่พบในพระไตร-ปิฎกภาษาบาลี สำหรับผู้อ่านชาวตะวันตก มีอุปสรรค สำคัญอยู่ ๒ ประการในการศึกษาหนังสือวิสุทธิมรรคอันเป็นงานยิ่งใหญ่ของพระพุทธโฆษาจารย์ อุปสรรคประการแรกได้แก่วิธีการเสนอข้อมูล ซึ่งเป็นแบบโบราณตามประเพณี ไม่ปรับให้เหมาะสมกับทัศนคติในยุคใหม่ อุปสรรคประการที่ ๒ ได้แก่ความยุ่งยาก เพราะไม่มีที่มาแห่งข้อมูลที่ยกมาอ้างอิง เพื่อแยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำสอนที่แท้จริงของ พระพุทธเจ้ากับข้อความที่แปล หรืออรรถาธิบายของพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย รวมทั้ง พระพุทธโฆษาจารย์เองด้วย ในการแปลหนังสือของพระพุทธโฆษาจารย์ ก็ย่อมจะมีความแตกต่างกันในเรื่องความเห็นเกี่ยวกับคำศัพท์ ซึ่งผู้แปลนำมาใช้ คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นงานระดับอรรถกถา ซึ่งในปัจจุบันนี้จำเป็นจะต้องมีอรรถกถาของคัมภีร์นี้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคยังคงเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีหลักฐานเชื่อถือได้มากที่สุดในเรื่องที่เข้าใจยากนี้ ซึ่งเป็นเรื่องนอกพระไตรปิฎก
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่นักเขียนชาวยุโรปละเลยระบบแห่งสมาธิในพระพุทธศาสนาอาจขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่าระบบในพระพุทธศาสนามุ่งไปที่ความบริสุทธิ์แห่งจิตและความหลุดพ้นโดยเฉพาะ ซึ่งไม่เหมือนกับระบบในศาสนาฮินดู พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนภาวนาเพื่อให้ได้บรรลุพลังเหนือปกติธรรมดา นั่นก็คือความสามารถในการสร้างร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารขึ้นมา หรือความสามารถในการได้รับความเป็นใหญ่เหนือโลกภายนอก พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อวัตถุประสงค์อันเดียวเท่านั่น นั่นก็คือการดับทุกข์และการหลุดพ้นจากสังขารอันมีปัจจัยปรุงแต่ง ณ ที่นี้เอง เราพบความแตกต่างอันสำคัญระหว่าง วิธีการแห่งสมาธิในพระพุทธศาสนากับวิธีการแห่งสมาธิที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดที่สุด กับลัทธิโยคะในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หะฐะโยคะ และราชโยคะในศาสนาฮินดู เกี่ยวข้องกับผลที่ได้รับซึ่งตามหลักในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่จะต้องทิ้งไป โดยเหตุที่โยคะทั้ง ๒ อย่างนั้น เป็นโลกิยะ หรือยังอยู่ใน สังสารวัฏ โยคะทั้ง ๒ เหล่านี้จึงไม่นำบุคคลไปสู่วิมุติ คือความหลุดพ้นจากความทุกข์ในที่สุด ซึ่งเป็นสภาพที่แยกออกไม่ได้จากภาวะที่เป็นบุคลาธิษฐาน ในทางตรงกันข้าม โยคะเหล่านี้ยิ่งเพิ่มเชื้อให้แก่ไฟ คือตัณหา
จุดหมายดั้งเดิมของระบบในศาสนาฮินดู ได้แก่การได้รับพลังซึ่งเหนืออำนาจแห่งธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งพระเวททั้งหลาย พลังอันนี้จะมีได้โดยอาศัยการ บำเพ็ญตะบะ และด้วยการบำเพ็ญตะบะนั้น โยคีได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ได้ผนึกคุณธรรมของตนให้แน่นแฟ้นขึ้น นั่นแหละคือความปรารถนาของเขา ซึ่งจะไปถึงจุดหนึ่ง ณ จุดนี้ เขาจะได้รับ ความยิ่งใหญ่กว่าเทพยดาทั้งหลาย เป็นเรื่องที่จะพบได้ทั่วไปในคัมภีร์ปุราณหรือวรรณกรรม มหากาพย์ โมกษะหรือ ความหลุดพ้น หรือการอยู่ร่วมกับเทพเจ้าไม่ได้ปรากฎเป็นจุดมุ่งหมาย สำคัญของโยคะจนกว่าระบบสางขยะจะปรากฎเด่นดังขึ้น กะปิละผู้ตั้งลัทธิสางขยะขึ้นมีชีวิตอยู่ ก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ ๑ ศตวรรษในภูมิภาคเดียวกันในประเทศอินเดีย และบางทีอาจเป็นสาวกของกะปิละนั่นเองที่พวกฤๅษียอมตนเป็นศิษย์ และเจ้าชายสิทธัตถะได้เข้าไปศึกษากับ ฤๅษีเหล่านี้ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ แต่จุดหมายปลายทางของการหลุดพ้นในลัทธิโยคะของศาสนาฮินดูไม่ได้สลัดออกจากโลกิยะลักษณะโดยสิ้นเชิง ลักษณะเหล่านี้บางทีอาจทำให้โยคะในศาสนาฮินดูเป็นที่ดึงดูดใจชาวตะวันตกผู้ปรารถนาจะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พัฒนาพลังจิตและพลังกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และ ปฏิบัติงานโดยทั่วๆ ไปในโลกภายนอกในวิถีทางเดียวกับที่เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์สามารถช่วยให้เขาปฏิบัติได้
เป็นความจริงที่ว่าความสามารถทางจิตบางอย่าง ซึ่งสามารถใช้ได้กับเรื่องทางโลก เช่น ตาทิพย์ และหูทิพย์ และกายซึ่งสำเร็จมาจากใจ ตลอดถึงพลังพิเศษต่างๆ จะได้รับการพัฒนา ขึ้นมาในระหว่างการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา พลังเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญจากฌาน ขั้นต่างๆ ในขณะที่ผู้เจริญสมาธิก้าวขึ้นสู่วิถีอันจะนำไปสู่การตรัสรู้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ทั้งหลายทรงประกอบด้วยพลังเช่นนั้น และ เมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้นก็ทรงใช้พลังเหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้ถูกอวิชชาครอบงำ ซึ่งต้องการเครื่องหมายและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ แต่โดยทั่วๆไป พระพุทธเจ้าทรงตำหนิการใช้พลังเหล่านั้น ทรงประสงค์จะเผยแพร่พระธรรม ด้วยปาฏิหาริย์แห่งพระพุทธพจน์ และด้วยพลังแห่งสัจจะในการประกาศพระองค์เอง สำหรับผู้ที่ยังไม่พ้นจากสิ่งหลอกลวงทางโลก พลังเหล่านี้สามารถเป็นพลังที่สร้างความยึดนั้นถือนั้นได้ และ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังและเอาชนะพลังเหล่านี้ให้ได้ เพื่อจะได้บรรลุพระนิพพาน ในทรรศนะของชาวพุทธผู้ที่มาปฏิบัติธรรมโดยการฝึกสมาธิเพื่อบรรลุอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นย่อมกระทำไปด้วยความตั้งใจผิด และ เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่เขาเอง ถ้าพลังทั้งหลายให้ผลในทางผิด พลังเหนือธรรมดาย่อมให้ผลในทางผิดเหนือธรรมดาไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นทัศนคติที่ถูกต้องของจิตสำหรับผู้ที่เจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะตอบปัญหานี้ จำเป็นต้องให้แนวความคิดบางอย่างแก่ผู้อานเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขั้นสุดท้ายในการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนานั่นก็คือวิถีทางที่ถูกต้อง ได้แก่ พระอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งสรุปรวมวิธีการครองชีพของชาวพุทธเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ข้อนี้ชี้ให้เห็นความจริงที่ว่าในเบื้องต้นทีเดียว พระสาวกจะต้องมีความเข้าใจอย่างชัดแจ้งในเรื่องความไม่เที่ยง ความทุกข์ และ ความไม่มีตัวตนของสังขารทั้งหลาย ในเบื้องต้นความเข้าใจเรื่องนี้ของพระสาวกอยู่ในระดับใช้เหตุผล เขาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งกายและใจ จะต้องเปลี่ยนแปลงไปและเห็นว่า การเกิดขึ้น การเสื่อมไป และ การสลายไปแห่งสิ่งทั้งหลาย เหล่านั้นเป็นตัวทุกข์ และเพราะเป็นเช่นนั้น จึงปรากฎต่อไปว่า ไม่มีแก่นสารในสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งหนึ่งๆ ซึ่งเป็นตัวของมันเองขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดสาย บุคลิกลักษณะที่ปรากฎให้เห็นซึ่งหมายถึงเมื่อเราพูดถึง “อัตตา” เป็นการไหลไปแห่งขบวนการทางจิตซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งอย่างบังเอิญ และเมื่อเราหมายถึง “นิสสัย” ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ความโน้มเอียงพิเศษเฉพาะชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของมัน ถ้าบังเอิญมีวิญญาณหรืออาตมัน ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงตามความหมายในคัมภีร์อุปนิษัทแล้วไซร้ วิญญาณก็ไม่อาจมีความเชื่อมโยงกับอัตตาที่เปลี่ยนแปลงและไม่ยั่งยืนได้ และความพยายามทุกอย่างที่รู้จักหรือแม้ว่า จะเชื่อมโยง และสัมพันธ์เข้ากันและกัน ย่อมหาประโยชน์มิได้ อัตตาซึ่งเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่สามารถจะมีอยู่ได้อย่างแท้จริง แต่ในขณะที่สิ่งซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถจะเข้ากันได้กับบุคลิก-ลักษณะที่แข็งแกร่งของมนุษยชาติได้นั้น ปรากฎว่านักบุญชาวคริสตศาสนาชื่อออกสติน ได้พบความยากอันนี้อย่างชัดเจนมากกว่านักปรัชญาทางเวทานตะ เมื่อเขาเขียนไว้ว่าดังนี้
“เพราะว่าความไม่แน่นอนของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ทั้งหลายสามารถมี รูปเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งในรูปเหล่านั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ทั้งหลายเหล่านี้ ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไป และความไม่แน่นอนนี้ได้แก่อะไร มันคืออัตตาหรือ? มันคือร่างกายหรือ? มันเป็นสิ่งซึ่งประชุมกันขึ้นเป็นอัตตา หรือร่างกายหรือ? คนอาจพูดดังนี้ได้ไหมว่า “มีบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีอะไร? ภาวะที่มีอยู่คือภาวะที่ไม่มีอยู่ ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า “นี่คือสิ่งนั้น” และยิ่งกว่านั้น มันมีอยู่แม้ในเวลานั้นโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพราะสามารถได้รับภาพที่มองเห็นและภาพที่ผสมอยู่”
แต่สำหรับนักปรัชญาเริ่มตั้งแต่ฮูมเป็นต้นมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับเอา ความคิดเรื่องร่างกายและเรื่องจิตใจซึ่งโดยปกติอยู่นิ่งไม่ได้มาใช้นั้น ย่อมไม่มีภาวะอย่างที่นาย ออกุสตินมี ความต้องการให้มีภาวะอันนั้นคงย่อมหมดไปโดยเร็ว จากการสอบถามทุกรูปแบบ และเราจะได้รับเฉพาะกระบวนการเท่านั้น ถามว่าอะไรเล่าที่เปลี่ยนแปลง ตอบว่า “ไม่มีสิ่งใด เปลี่ยนแปลง” เท่าที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งนั้น เป็นเพียงกระบวนการเท่านั้น เราอาจพูดถึงสิ่งของที่มีอยู่ในจักรวาล แต่ในการพูดเช่นนั้น เรากำลังทำตามประเพณีนิยม หมายถึงพลังแห่งการเปลี่ยนร่าง คือดุลยภาพแห่งพลังซึ่งสร้างโลกที่มีรูปร่างขึ้นมา โดยแท้จริง แล้ว หลักข้อนี้ใช้กันอยู่ในแวดวงของนักจิตวิทยา
การเข้าใจเรื่องนี้อย่างประจักษ์ (แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ก็ตาม) ย่อมก่อให้เกิด ขั้นต้นแห่งการเข้าสู่พระอริยมรรคมีองค์ ๘ จากขั้นต้นนี้ ย่อมเกิดปัจจัยตัวต่อไป คือสัมมา สังกัปปะ ความดำริชอบ ข้อนี้หมายถึงการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะปลดเปลื้องตนเองออกจากเครื่องรึงรัด ซึ่งได้แก่ตัณหาอันมีอำนาจรึงรัดผูกมัดสัตว์ทั้งหลายไว้กับวงล้อคือการเกิดใหม่
โดยเหตุที่ไม่มีตัวตนที่ถาวรในกระบวนการแห่งชีวิต และทั้งไม่มีหลักแห่งอัตตา จึงต้อง เข้าใจว่ามีอนัตตา คือความไม่มีตัวตน ความไม่มีตัวตนดังกล่าวนี้ซึ่งสร้างลักษณะเด่นใน การวิเคราะห์สัตว์บุคคลตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แก่ความเห็นซึ่งสอดคล้องกันเป็นอย่างดี กับข้อสรุปซึ่งนักคิดด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้นำมาใช้ นักคิดเหล่านี้ตัดสินใจในข้อสรุปนี้อย่าง อิสรเสรี เราจะพบว่ากระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ไม่มีสิ่งใดถาวรหรือ ทนทาน ซึ่งจะนำกระบวนการอันนี้มาใช้ด้วยได้ ปรากฎการณ์ทั้งสิ้นมีอยู่เฉพาะในความหมายที่ เกี่ยวข้องกันเท่านั้น เมื่อพิจารณาเห็นว่าสิ่งหนึ่งไม่สามารถมีอยู่ได้ ถ้าไม่มีสภาพที่เกี่ยวข้องกัน ในขณะใดก็ตาม สิ่งที่เราเรียกว่าอัตตา เป็นเพียงผลิตผลสุดท้ายของความสัมพันธ์กันโดยบังเอิญ ซึ่งมีมาก่อนและขยายย้อนหลังไปในอดีตอันหาที่สุดมิได้
นี้เป็นพื้นฐานของปรัชญาในพระอภิธรรมเท่าที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ อัตตาซึ่งสร้างขึ้น จากมโนภาพประกอบด้วยความรู้หลายหลาก ซึ่งเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งๆ ความรู้แต่ละอย่างเป็น ขณะแห่งวิญญาณขณะหนึ่งๆ ซึ่งเพ่งตรงไปยังสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจในขณะนั้น ดังนั้น จากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่งเราได้รับความประทับใจหลายหลากชนิด ทั้งจากโลก ภายนอกและจากโลกคือกิจกรรมภายในจิต แต่เราไม่สามารถรับรู้ความประทับใจมากกว่า ๑ อย่างในขณะเดียวกัน เราอาจคิดว่าเราเห็นวัตถุสิ่งหนึ่ง ได้ฟังเสียงชนิดหนึ่ง ได้รับสัมผัสอย่างหนึ่งไปพร้อมๆ กัน แต่ความคิดดังนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องอันเกิดจากความเร็วสุดขีด ซึ่งด้วยความเร็วนี้ขณะจิตทั้งหลายเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ขณะจิตเหล่านั้นทำให้เราขาดความเข้าใจ ทางอายตนะทั้งหลาย และความสนใจของเราจะถูกนำไปยังขณะจิตเหล่านี้ต่างๆ กันหรือผลัด เปลี่ยนกัน มีจุดหมุนเวียนจากขณะจิตหนึ่งไปยังอีกขณะจิตหนึ่ง แต่กระบวนการอันนี้เป็นไปอย่างเร็วมากจนเรารวบรวมความประทับใจทั่วๆ ไปไว้ด้วยกัน เมื่อเราได้เห็นได้ยินและได้รู้อีกใน เวลาเดียวกัน และเร็วจนถึงกับว่ามีความสืบเนื่องกันอย่างไม่ขาดสายในวิญญาณ คือความรู้ของเรา
แต่สิ่งที่ปรากฎว่ามีตัวตนซึ่งได้แก่ประมวลความคิด ความรู้สึก ความเห็น ความปรารถนา และ ความจำ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปจะรู้จักกันในคำว่าอัตตานั้น โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไร เลยนอกจากกระบวนการของภพ หรือ ความมี ความเป็นภพเชื่อมโยงวิญญาณขณะหนึ่งกับ วิญญาณอีกขณะหนึ่ง ซึ่งปรากฎตามมาแต่ละอย่างโดยอาศัยปัจจัยปรุงแต่งที่มีมาก่อน ทั้งที่ เกี่ยวข้องกับจิตและที่เกี่ยวข้องกับกาย และมีแรงกระตุ้นทั้งภายในและภายนอก แรงกระตุ้น ภายในและภายนอกเป็นความประทับใจทางประสาทสัมผัสและข้อมูลที่ได้รับผ่านอายตนะภายใน ๕ อย่าง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) แรงกระตุ้นภายในได้แก่แรงกระตุ้นซึ่งเกิดขึ้นในจิต โดยการ หวนระลึกถึงความรู้สึกที่มีมาก่อน หรือโดยการคาดหวังความรู้อีกในอนาคต ดังนั้น เราจึงมี แนวโน้มที่จะเข้าใจว่าอัตตาเป็นอันเดียวกันกับแหส่งที่เกิดแห่งประสบการณ์ที่ทำให้มีความนึกคิด คือร่างกาย หรือไม่ก็เป็นอันเดียวกันกับกิจกรรมทางจิตวิทยาซึ่งสับสน เช่นความคิด ความตั้งใจ ความจำ และภาวะที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์เหล่านี้ ซึ่ง ทั้งหมดมีปัจจัยปรุงแต่งและไม่ถาวรเป็นภาวะที่จะมีจะเป็นมากกว่าที่สภาวะเป็นจริง เช่นเดียว กับในขอบข่ายแห่งวิชาฟิสิกส์ สะสารที่แข็งย่อมสลายตัวเองไปเป็นพลังงานนิวเคลียร์ฉันใด ในขอบข่ายแห่งกิจกรรมทางจิตก็ฉันนั้น อัตตาสมมติซึ่งคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมสลายตัวไปเป็น กระบวนการอันหนึ่ง คือการคิด ในกรณี ทั้ง ๒ นี้ สิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ซับซ้อนอันใด แต่เป็นเหตุการณ์ต่างๆ หลายหลากซึ่งเกิดขึ้นสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย
เหตุใดพระพุทธศาสนา ซึ่งขัดแย้งกับศาสนาอื่นๆ จึงเน้นอย่างมากในเรื่องความไม่มี อัตตาที่แท้จริง คำตอบก็คือ เพราะความคิดที่ว่า มีตัวตนซึ่งเป็นความคิดเฉพาะบุคคลที่ว่า มี “ตัวกู”ที่แท้จริงผู้เสวยความสุขทางประสาทสัมผัส นั้นเป็นเหตุแห่งตัณหา ซึ่งนำบุคคลไป สู่ความเป็นอยู่ที่มีสืบต่อกันมา ก่อให้เกิดภวตัณหา /หรือความทะยานอยากเพื่อความเป็นอยู่ และผลพลอยที่ตามมาได้แก่ โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลง) ซึ่งได้แก่ไฟ คือความทุกข์ ๓ กองในพระธรรมเทศนาที่ยิ่งใหญ่กัณฑ์หนึ่งที่ว่าด้วยไฟ ซึ่งปรากฎใน พระคัมภีร์มหาวรรค พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างถูกไฟไหม้และเผาผลาญด้วย ไฟ คือตัณหา พยาบาท และโมหะ (ความหลงงมงาย) เพื่อที่จะดับเพลิงทุกอย่างตลอดไป ในเบื้องต้น บุคคลจะต้องสลัดการหลงตัวเองออกไป การหลงตัวเองนี้เรียกว่าสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นข้อแรกในสังโยชน์ ๑๐
การถอนความหลงผิดว่ามีตัวตนออกไป เป็นการกระทำที่ยากเช่นเดียวกับการขจัด อวิชชาออกไปจากบุคคลแต่ละคน ดังนั้นอุบายประการแรกคือจะต้องยอมรับด้วยสติปัญญาว่า “ไม่มีตัวกูที่ถาวร” การเข้าใจความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งเปลี่ยนวิถีจิตไปในทางใหม่โดย สิ้นเชิง จะเกิดขึ้นพร้อมกันการบรรลุพระอรหัตผล ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกับการดับไปแห่ง สายเชื่อมโยงสุดท้ายคืออวิชชาและตัณหา
จุดมุ่งหมายสุดท้ายของการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบ การยอมรับความจริงเหล่านี้ด้วยสติปัญญาไปเป็นความเข้าใจความจริงเหล่านี้อย่างถูกต้อง ในขั้นนี้เองที่นักปรัชญาที่ไม่เก่งผู้มักไม่ได้รับการสนับสนุนจากปรัชญาของตน หรือไม่ก็ไม่ได้รับ ความสำเร็จในการใช้ปรัชญาอย่างสืบเนื่องตามความต้องการของตนได้กลายเป็นบุคคลผู้เข้าใจ ความจริงโดยอาศัยประสบการณ์ภายในตน และดังนั้นจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการดำรงชีพอยู่ตามประสบการณ์นั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นย่อมเห็นพระ ธรรม และผู้ใดเห็นพระธรรมผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต” ดังนี้ พระองค์ทรงกล่าวถึงความจริงตาม ตัวอักษร พระโคดมทรงเป็นนักพรต ในฐานะที่ทรงเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีปรากฎการณ์ จำกัด ได้มาเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็น “พระพุทธเจ้าของพระองค์” พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียว กับความจริงซึ่งพระองค์ทรงสอนแก่ผู้อื่น ผู้สอนและคำสอนก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เราอาจหันไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ หรือที่ตั้งแห่งสติ ๔ แห่ง ว่าเป็นวิธีตัวอย่าง อันหนึ่งซึ่งช่วยให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ จุดนี้ พระสาวกย่อมฝึกการปลีกตนและ การไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทั้งหลายซึ่งถือกันผิดๆ ว่าเป็นอัตตา คือ ร่างกาย ความรู้สึก จิต และธรรมารมณ์ ด้วยการกำหนดความสนใจไว้กับสิงเหล่านี้โดยปราศจากปฏิกิริยาทางสติปัญญาหรือทางอารมณ์ที่มีต่อสิ่งที่เขารู้ เขาย่อมฝึกฝนตนเองเพื่อให้ได้ทรรศนะคติที่ว่าไม่ใช่ตัวตน โดยสิ้นเชิง ซึ่งมีต่อปรากฎการณ์เหล่านี้ ในกายคตาสติ พระสาวกย่อมพิจารณาเห็นกายของตนว่าเป็นกองแห่งธาตุ ที่ปราศจากบุคคลซึ่งยึดเข้าด้วยกันตามกฎธรรมชาติ และทำงานสนอง พลังเคลื่อนไหวของโลกกายภาพ สาระสำคัญของร่างกายนี้ไม่แตกต่างจากสาระสำคัญของโลก ภายนอกเลย เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้พร้อมกับมองเห็นความไม่สมบูรณ์ และความอ่อนแอของ ร่างกาย ซึ่งเป็นโน้มเอียงไปเพื่อความทุกข์เพราะความแก่และการตายแล้ว เขาย่อมเบื่อหน่ายร่างกาย และไม่ถือว่าร่างกายหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเป็นอัตตาคือมีตัวตนต่อไปอีกแล้ว เมื่อพิจารณาความรู้สึกของตนในทำนองเดียวกันนี้ เขาย่อมรู้แจ้งชัดว่าความรู้สึกเหล่านี้ ไม่ถาวร ควบคุมไม่ได้ และผลมาจากเหตุซึ่งกำหนดธรรมชาติของเจตนาของเขาอย่างอิสระ และดังนั้น เขาจึงเห็นว่า ความรู้สึกก็เป็นภาวะที่ไม่มีตัวตนเช่นกัน เมื่อเขาพิจารณาความคิด ด้วยความไม่ยึดนั้นถือมั่นเช่นเดียวกันนี้ เขาจะเห็นการไหลเวียนแห่งสภาพของจิตซึ่งเขา สามารถกำหนดได้ว่าน่ารักหรือไม่น่ารัก และเขาย่อมเข้าใจสภาพต่างๆ ของวิญญาณ ซึ่งเขาสามารถประเมินคุณค่าและขอบเขตแห่งอารมณ์ของมันว่าเป็นความปรารถนาหรือเป็นความอิสระจากความปรารถนา เป็นความโกรธหรือเป็นความอิสระจากความโกรธ เป็นความรู้แจ้ง แทงตลอดหรือเป็นความไม่รู้แจ้งแทงตลอด เป็นความดีใจหรือเป็นความเสียใจ มีฌานหรือ ปราศจากฌาน อยู่ในระดับที่หมกมุ่นอยู่ในกาม หรือเหนือระดับนั้น มีจิตแน่วแน่ หรือมีจิตไม่ แน่วแน่ ปล่อยวาง หรือยึดนั้น ด้วยวิธีการวิเคราะห์ทางจิตซึ่งอาศัยสภาพที่ไม่มีตัวตนเช่นนี้ พระสาวกย่อมมีความรู้เรื่องธรรมชาติแห่งการทำงานของจิต และหยุดเป็นทาสแห่งการกระทำ นั้นเสีย ความรู้จักตนเองซึ่งพระสาวกได้มานั้น ย่อมทำให้เขาเป็นอิสระจากความหลงผิดเกี่ยวกับ ปฏิกิริยาทางอารมณ์ แรงกระตุ้น และสันดานส่วนตัวเขาเอง ในเวลาเดียวกัน ความรู้นั้นย่อม เปิดเผยซึ่งลักษณะเป็นอนัตตาของจิตในภูมิภพที่ไม่ยั่งยืนเหล่านี้ภูมิแห่งจิตเหล่านี้จะปรากฎเป็น “ปรากฎการณ์ว่างเปล่า” คือเหตุการณ์ทางจิตซึ่งปราศจากความถาวรโดยประการทั้งปวง
เมื่อพิจารณาธรรมารมณ์ทั้งหลาย พระสาวกย่อมมีการวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น และเข้าใจ อย่างชัดเจนว่าความหม่นหมองแห่งจิตย่อมมีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่ง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันจะถูกขจัดให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร และจะป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างไร
พระสาวกย่อมพิจารณาเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของส่วนต่างๆ ของบุคคลคือ ขันธ์๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และมองเห็นที่เกิด การเจริญ และการสลายตัวของส่วนเหล่านั้น และด้วยความเข้าใจขั้นนี้ เขาย่อมพิจารณาเห็นอย่างถี่ถ้วน ซึ่งทวารทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)ซึ่งจะรับรู้สิ่งต่างๆ ทางประสาทสัมผัสและย่อมพิจารณาเห็นอย่างถี่ถ้วนซึ่งอายตนะภายนอก ๖ (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) ซึ่งทวารทั้ง ๖ จะเปิดรับ โดยวิธีนี้ พระสาวกสามารถให้คำจำกัดความคำว่าตัณหา และคำว่าอุปาทานซึ่งเกิดเพราะตัณหาเหล่านั้นได้ และเรียนรู้ว่าจะเอาชนะตัณหาเหล่านั้นได้อย่างไร และจะกันไม่ให้ตัณหาเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกใน อนาคตได้อย่างไร จากนั้นเขาจะสามารถทราบความแตกต่างระหว่างสิ่งหลอกลวงกับสิงจริง ทั้งหลาย เขาสามารถกล่าวได้ว่า ในธรรมซึ่งเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ข้อนั้นข้อใดมีอยู่ในตัวเขา และข้อใดบ้างยังจะต้องอบรมให้เกิดมีขึ้นในตน และแล้วเขาย่อมเข้าใจสาระสำคัญของ พระอริยสัจด้วยเหตุนี้หนทางที่จะบรรลุถึงความหลุดพ้นย่อมเปิดให้เขาโดยอาศัยการเจริญวิปัสสนา ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมอันปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัด
ความเป็นอยู่ตามที่เราประสบอยู่ในปัจจุบัน เป็นวงจรอันไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการ แสดงออกซึ่งพลังจิตบันดาลให้เกิดขึ้น การแสดงออกเหล่านี้ออกมาในรูปของสัตว์บุคคลผู้มี ความรู้สึก “การเกิดใหม่”นี้(จะต้องใช้คำนี้เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่า และเป็นคำที่น่าใช้กว่าคำว่า “อวตาร” หรือคำว่า การจุติจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่ง ปรากฎในภูมิ ๓๑ ของสัตว์ที่มี สังขารร่างกาย แต่ละภูมิ แบ่งออกเป็นภูมิ ย่อย มีจำนวนนับไม่ ถ้วน และไม่มีอะไรมากไปกว่า การสืบต่อโดยบังเอิญแห่งการกระทำและผลแห่งการกระทำ การกระทำทุกอย่าง ซึ่งประกอบ ด้วยเจตนา (ซึ่งได้แก่การกระทำทุกอย่างที่ได้รับการสนับสนุนจากความทะยานอยาก เพื่อผล อย่างใดอย่างหนึ่ง และที่ถูกนำไปยังผลนั้นอย่างรู้ซึ่งอยู่แก่ใจ) ย่อมส่งออกซึ่งพลังอันก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงหรือให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบางอย่างในโลก คือประสบการณ์ตามผลที่เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นผลที่น่าปรารถนาและผลที่ไม่น่าปรารถนาสำหรับเราผลเหล่านี้แบ่งออกเป็น ๓ประเภท คือผลดี ผลชั่ว และผลกลางๆ ซึ่งไม่ดีไม่ชั่ว เบื้องหลังการกระทำทุกอย่างย่อมมีแรงกระตุ้นคือ ความอยาก และพลังแห่งความอยากคือตัณหา อันนี้เองที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความจริงเพียงสิ่งเดียว แน่นอนที่สุด นั่นก็คือพระเจ้าองค์เดียวในโลกแห่งปรากฎการณ์ สัตว์มีชีวิตทั้งหลายเป็น ส่วนประกอบของตัณหาที่สร้างขึ้นมาในตน และประวัติศาสตร์แห่งจักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นหลัก ศีลธรรมมีอยู่ในจักรวาลนี้ แต่เป็นหลักที่ไม่มีตัวตนโดยแท้ เพราะเป็นธรรมชาติจำเป็น สำหรับ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เช่นเดียวกับกฎแห่งความถ่วงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ฉะนั้น มนุษย์แต่ละคนเก็บเกี่ยวผลแห่งเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาทำไว้ในอดีต ความเข้าใจของเขา เกี่ยวกับคุณค่าทางศีลธรรม เกิดมาจากความรู้สึกที่ชัดเจนในบุคคลบางคนและไม่ชัดเจนในบุคคลอื่น แต่จะปรากฎอยู่บ้างในเกือบทุกคนว่า โดยสัตย์จริงแล้ว มีกฎที่ตอบสนองและชดเชย กันอยู่ในตัวมันเองตามธรรมชาติ ผู้ที่นับถือพระเจ้าอย่างยอมรับว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า แต่ชาวพุทธทั้งหลายเมื่อไม่พบหลักฐานที่แสดงว่ามีพระเจ้าผู้มีความกรุณาอยู่ในจักรวาล ซึ่งวาง เฉยในเรื่องความทุกข์ ย่อมไม่แสวงหากฎอื่นใดนอกจากกฎแห่งเหตุผลตามธรรมชาติ (ปฏิจจสมุปบาท) เท่านั้น
การเกิดใหม่ซึ่งมีกรรมชั่วเป็นผลตามมานั้น ปรากฎขึ้นโดยการมาประจวบกันแห่ง ปัจจัยทางจิตวิทยา๒ อย่าง คือตัณหา และอวิชชา ตัณหาเป็นไปเพื่อประสบการณ์ทางความรู้สึก หรือเหตุผล ซึ่งด้วยประสบการณ์นี้สัตว์ทั้งหลายรู้สึกว่าตนเองมีความเป็นอยู่เป็นตัวตน อวิชชา ซึ่งได้แกความไม่รูในเบื้องต้นซึ่งปิดบังความจริงชั้นปรมัตถ์เหล่านี้รวมกันสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญ คือความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ ซึ่งด้วยแรงกระตุ้นนี้ สัตว์ผู้มีความรู้สึกทุกระดับชั้น และทุกรูปทรงเกิดขึ้นมา การยอมรับชีวิตเช่นนี้ จะเชื่อมโยงกับกรรม คือการกระทำอย่างแยกไม่ออก และกรรมนี้เอง ได้แก่พลังงานอันประกอบด้วยเจตนา ซึ่งเกิดขึ้นในความคิด ในคำพูด และในการกระทำทางกายตลอดชีวิตหนึ่งๆ ที่สร้างสัตว์บุคคลขึ้นอีกชีวิตหนึ่งหลังจากการตายอันเป็น ผลของมันในภาวะอย่างนั้น ศักยภาพแห่งกรรมซึ่งสะสมมาจากการกระทำในอดีตย่อมให้ผล และความสืบต่ออย่างไม่ ขาดสายจะมีต่อไป เพราะการกระทำอันมีเจตนามากยิ่งขึ้น แต่ในความมีตัวตนตามปรากฎการณ์ ซึ่งประกอบด้วยเจตสิกธรรม ๔ อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเชื่อมโยงกับรูปธรรม คือร่างกายย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องรูปพรรณ จากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่ง กระแสแห่งความเข้าใจตนเอง ซึ่งคนผู้ไม่ได้รับการศึกษาเข้าใจ ว่าเป็นอัตตานั้น เกิดมาจากขณะจิตทั้งหลาย ซึ่งแต่ละขณะจิตปรากฎอยู่ในระยะเวลาชั่วครู่ แต่เนื่องจากว่าขณะจิตแต่ละขณะ บังเอิญมีส่วนเกี่ยวข้องขณะจิตทั้งหลายซึ่งมีมาก่อน ขณะแห่งความคิดอาจกล่าวได้ว่ารับช่วงความโน้มเอียงมาจากบรรพบุรุษและส่งทอดความโน้มเอียงนั้น ไปยังผู้สืบทอดมรดกของตนตามวาระความต่อเนื่องกัน (สันตติ) นี้เองที่ถ่ายทอดนิสัยให้แก่ กระแสวิญญาณของแต่ละบุคคล ทั้งนี้เพราะว่านิสัยก็คือแรงจูงใจที่จะคิดและกระทำโดยวิธีใดวิธีหนึ่งนั้นเอง ซึ่งกลายเป็นนิสัยประจำตัวของแต่ละบุคคล ดังนั้น เราจะเห็นว่า สิ่งที่สมมติเรียก กันว่า “การเกิดใหม่” ของแต่ละบุคคลก็เหมือนกับการเกิดและการตายชั่วขณะหนึ่งต่อเนื่องกัน แห่งขณะจิต ซึ่งได้แก่การนำความโน้มเอียง ซึ่งมีในอดีตติดตัวไป ข้อนี้กำหนดชนิดและคุณภาพ ของนามรูป เมื่ออุบัติขึ้นมาในกรณีของบุคลิกภาพการพัฒนาชั้นต่อไป อาจเปลี่ยนแปลงโดย การกระทำที่มี เจตนาต่อเนื่องกันไป
ตามที่นักจิตวิทยาฝ่ายตะวันตกเข้าใจกัน การกระทำที่มีความตั้งใจสามารถเกิดขึ้นได้ จากจิตที่รับรู้เรื่องนั้นๆ หรือจากชั้นภูมิของจิตที่ไม่รับรู้เรื่องนั้น และดังนั้น การกระทำเหล่านั้น ย่อมได้รับการกระตุ้นจากอารมณ์ และเชาว์ปัญญาในระดับต่างๆ กัน มนุษย์แต่ละคนจะถูก ต้อนไปทางนี้ และทางนั้นบ้างโดยแรงกระตุ้นที่ขัดแย้งกัน หรือสลับกันไป จุดมุ่งหมายของวิชา จิตคาสตร์ของฝ่ายตะวันตกก็เพื่อเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในตัวบุคคล และเพื่อรวมเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันถ้ารวมได้ แต่การรวมกันแบบนี้เป็นการประนิประนอมกันทั้งภายในและภาย นอกตามความจำเป็นเท่านั้น แม้ว่าจะได้รับความสำเร็จก็ตามจากแนวความคิดทางพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรเลยนอกจากการเปลี่ยนสิ่งลวงตาอันหนึ่งไปยังสิ่งลวงตาอีกอันหนึ่ง โดยทึกทักเอาว่า สิ่งลวงตาที่ถูกเปลี่ยนแทนนั้นเป็นสิ่งที่ปาปรารถนามากกว่าสิ่งลวงตาที่เกิดใหม่ เป็นความจริงสิ่งลวงตาเหล่านั้นอาจดีกว่า ถ้าว่าจุดมุ่งหมายเป็นเพียงการกระทำให้แต่ละบุคคล มีความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของเขาอย่างสะดวกยิ่งขึ้น หรืออย่างมีผลดียิ่งขึ้น แต่ถ้าจุดมุ่งหมายบ่งว่า เพื่อเข้าใจธรรมชาติของจิต และเพื่อบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของจิตแล้ว จะต้อง มีหลักวิชาอย่างหนึ่งซึ่งพิจารณาปัจจัยต่างๆ มากกว่าที่นักจิตศาสตร์ตะวันตกยอมรับด้วย ความพอใจ ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมายข้อนี้แล้ว มนุษย์อาจได้รับความสำเร็จในฐานะเป็นหน่วยหนึ่ง ของสังคม แต่จะผิดหวังโดยสิ้นเชิงในฐานะเป็นบุคคลผู้ก้าวหน้า ซึ่งพัฒนาบุคลิกของตนในเรื่อง ความเป็นบุคคล
จุดประสงค์ข้อหนึ่งของการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา คือการทำให้แต่ละบุคคล เข้าใจอย่างชัดแจ้งถึงฐานะของตนในโลก มูลเหตุที่กำหนดให้เขาอยู่ ณ ที่ๆ เขาเป็นอยู่ และจุดที่เขาจะต้องพยายามเพื่อบรรลุ เมื่อเขาได้บรรลุจุดประสงค์นี้แล้วเท่านั้น เขาจึงจะได้ รับขนานนามว่า “เป็นนายแห่งจุดหมายปลายทางของตน” ด้วยเหตุผลนี้ ถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่น หนังสือเล่มนี้ควรดึงดูดความสนใจของประชาชนผู้เป็นนักคิดทั้งหลาย ทั้งในเอเชียและในโลกตะวันตก ในชิวงเวลาที่มีอารมณ์ไม่แน่นอนหรือมีความเครียด จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนจะ ต้องพยายามเพื่อเข้าใจความหมายของชีวิต และบุคคลจะทำสิ่งนี้ได้โดยวิธีเดียว คือการเข้าใจ ความมีความเป็นในภายในตัวของเขาเอง คำตอบปัญหารีบด่วนซึ่งเผชิญหน้าเราอยู่ในปัจจุบัน จะไม่พบในโลกนอกตัวเรา หรือในเงื่อนไขซึ่งเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา เพราะจากการวิเคราะห์ครั้งสุดท้าย สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงออกมาของสภาพที่อยู่ในภายในตัวเราเท่านั้น โลกนี้มนุษย์สร้างมันขึ้นมา ถ้าโลกนี้จะต้องเปลี่ยนไปจากภายใน ณ จุดดั้งเดิมของมัน นั่นก็คือจิต นี่คือความจริง ที่ปรัชญาตะวันออกสอนไว้ และความจริงข้อนี้ได้บรรลุถึงขั้นที่เจริญที่สุดในพระพุทธศาสนา เพราะเราจะพบว่า วิธีการพัฒนาอินทรีย์ (ความเป็นใหญ่ในตัวบุคคลที่ซ่อนเร้นในมนุษยชาติ) มีอยู่วิธีหนึ่งซึ่งประกอบด้วยเหตุผลและมีระบบ เป็นระบบที่รับสืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ครั้งแรก ด้วยการปากเล่ากันปากต่อปาก ต่อมาด้วยการขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยผู้ที่ได้ปฏิบัติมาด้วยตนเอง นับตั้งแต่ยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเป็นครั้งแรกเป็นต้นมา และโดยผู้ที่ ใช้ชีวิตที่มีการพิสูจน์ความจริง และมีความสามารถเช่นเดียวกับพระบรมครูของเรา
ในการรวบรวมและเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้พระ ดร พี วชิรญาณ (Ven Dr p Vajiranana) มหาเถระได้นำข้อมูลที่สำคัญที่สุดจากเอกสารต่างๆ ทั้งหมดที่สืบทอดมาถึงเรามาเสนอ และเรียบเรียงอย่างมีระบบ ใช้หัวข้อที่เหมาะสม จัดหาเอกสารที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาอ้างอิง ให้คำอธิบาย และวิจารณ์เอกสารเหล่านั้น เป็นครั้งแรกที่ได้พยายามจัดทำหนังสือประเภทนี้ นับตั้งแต่สมัยที่พระอรรถกถาจารย์ ภาษาบาลีผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายเถรวาททั้งหลายได้ทำไว้ เพราะว่า หนังสือเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายอันแน่วแน่ คือการสำรวจการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนาโดย บุคคลผู้มีคุณสมบัติดีเด่นคนหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้รับอภิสิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่ ได้รับความไว้วางใจ และให้โอกาสช่วยเหลือในการผลิตหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าเองได้มีส่วนช่วย เหลือเพียงเล็กน้อย แต่ในขณะที่ช่วยเตรียมการพิมพ์เผยแพร่หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมายเกี่ยวกับเอกสารทั้งหลายเหล่านั้น และมีความเข้าใจถึงวิธีที่จะนำเอกสารเหล่านั้นมาใช้ในการเจริญสมาธิได้ดีขึ้น ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างยิ่งต่อผู้แต่งซึ่งเป็น
ครูของข้าพเจ้า ในการสนทนากันอย่างยืดยาว เรายึดประเด็นหลักคือการให้ความหมายของคำและยึดวิธีที่ดีที่สุดเพื่ออธิบายคำสอนที่คลุมเครือมาก บางข้อเกี่ยวกับการเจริญภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ศึกษามาข้าพเจ้าแสดงความเคารพในท่านไม่เพียงแต่ในความเป็นผู้คงแก่เรียนของท่าน ความขยันหมั่นเพียรของท่าน ความเป็นนักการศึกษาของท่าน ความรอบรู้ของท่าน ความสุจริตใจอย่างมีสติรอบคอบของท่านเท่านั้น แต่ในบางสิ่งที่มีค่ามากยิ่งกว่าที่กล่าวมาแล้ว
นั่นก็คือวิปัสสนาปัญญาที่รู้แจ้งใน ปรมัตถธรรมของท่าน ซึ่งมีอยู่เบื้องหลังคำสอนทั้งหลาย
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ : การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทุกๆ อย่าง ในการผลิตหนังสือเล่มนี้ให้เป็นสมบัติของชาวโลก พระดร พี วชิรญาณ มหาเถระได้สร้างบุญอันสูงสุด ข้าพเจ้าขอตั้งความปรารถนาขอให้หนังสือเล่มนี้รับใช้ประชาชนไม่เพียงแต่เป็นแหส่งข้อมูล อ้างอิงสำหรับนักการศึกษาทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางเสนอแนะวิธีการเจริญกรรมฐาน แก่คนจำนวนมากผู้แสวงหาข้อแนะนำทางจิตใจในสมัยที่มีความทุกข์ยากอีกด้วย เขาเหล่านั้นก็ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าย่อมเป็นหนี้บุญคุณแก่ผู้แต่ง และก็เช่นเดียวกับข้าพเจ้าย่อมให้เกียรติผู้แต่งว่าเป็นครูของตน ด้วยอำนาจผลกุศลธรรม ขอให้ผู้แต่งบรรลุถึงประตูชัยอันสูงส่งแห่งการ เจริญภาวนาคือการพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้น คือได้บรรลุพระนิพพาน
No comments:
Post a Comment