Wednesday, June 29, 2016

บทที่ ๑ อารัมภบท : ทฤษฎีการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา

สมาธิในพระพุทธศาสนา

บทที่ ๑

อารัมภบท : ทฤษฎีการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา

ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ส่วนมากต่างเน้นถึงความสำคัญของสมาธิในฐานะเป็นหนทางไปสู่ ความบริสุทธิ์แห่งจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลัทธิศาสนาใหญ่ๆ ในอินเดียจำนวนมาก รวมถึง พระพุทธศาสนาด้วย จะพบว่าสมาธินี้เป็นหลักสำคัญในการสอนศาสนิกของคน คำว่า “โยคะ” ซึ่งหมายถึง “การประกอบ” หรือ “การส่งจิตไปรวมอยู่กับความเป็นเทพ” นั้น เป็นคำเฉพาะ ซึ่งใช้กับคำว่า “สมาธิ” แต่ในคำสอนยุคแรกๆ แห่งพระพุทธศาสนาไม่พบว่าท่านใช้คำว่า “โยคะ” ในความหมายนี้  แม้จะใช้กันในหนังสือทางพระพุทธศาสนาในยุคหลังๆ ก็ตาม ในลัทธิสางขยะ ท่านใช้คำว่า โยคะเป็นพิเศษ และลัทธิสางขยะนี้เป็นนิกายสำคัญ ซึ่งพัฒนาการปฏิบัติโยคะ นิกายนี้มีอายุเก่าแก่กว่าคำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าการเจริญสมาธิ ในพระพุทธศาสนายืมมาจากลัทธิโยคะ อาจมีการเชื่อมโยงกันระหว่างลัทธิโยคะ และพระพุทธศาสนา แต่ความคล้ายคลึงกันที่ปรากฎนั้นไม่มีผลกระทบต่อที่มาดั้งเดิมอันเป็นอิสระแห่ง พระพุทธศาสนา
image from https://i.ytimg.com/vi/S3EppVo67hI/maxresdefault.jpg

พระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นว่ามีนิกายศาสนาอื่นๆ อยู่มากมายที่เจริญสมาธิ ในพระอริยปริเยสนาสูตร ท่านกล่าวไว้ว่า นักพรต ๒ คน คือ อาฬารกาลามะ และอุทกบุตร แห่งรามะได้เจริญสมาธิระดับสูง (ตามแบบโยคะ) และชั้นแห่งการบรรลุธรรมที่ท่านทั้งสองได้ รับตามลำดับเท่ากับอรูปฌานที่ ๓ และที่ ๔ ในพระพุทธศาสนา แต่พระโพธิสัตว์ผู้ได้ทรงฝึก ฌานเหล่านี้ภายใต้การควบคุมของครูทั้งสองในยุคก่อนการตรัสรู้ของพระองค์ ทรงปฏิเสธครู เหล่านั้น เพราะว่าจุดหมายที่ครูเหล่านั้นพยายามที่จะบรรลุไม่ใช่พระนิพพานคือการหลุดพ้น จากกิเลสโดยสิ้นเชิง ซึ่งพระองค์กำลังทรงแสวงอยู่

ในการสนทนากับสัจจกนิครนถ์ผู้นับถือลัทธิเชน พระพุทธเจ้าทรงอภิปรายถึงวิธีฝึก กาย และจิต ซึ่งนักพรตยุคก่อนๆ ปฏิบัติกันอยู่ และในตอนต่อมาทรงอธิบายถึงการใช้คำต่างๆ และอาการที่พระองค์ทรงพบวิธีที่พระองค์ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

บันทึกหลักฐานเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าชาวพุทธในยุคเริ่มแรกยอมรับว่ามีลัทธินิกายอื่นๆ ซึ่งเจริญสมาธิอยู่ด้วย แต่ไม่มีหลักฐานที่มีคุณค่าทางประวัติศาตร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเกี่ยวกับองค์การเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม เราพบข้อยกเว้นเป็นพิเศษในกลุ่มชนผู้นับถือลัทธิเชน (หรือไชน์) ซึ่งมีกล่าวถึงเสมอในหนังสือทางพระพุทธศาสนาในนามว่า เดียรถีย์ ในพระไตรปิฎก มีข้อความอ้างอิงจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเจริญสมาธิมีในประเทศอินเดียนานมาแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีเหตุผลให้เราเชื่อว่าได้มีการยืมแบบการเจริญสมาธิที่แท้จริงตามวิธีใน พระพุทธศาสนามาจากที่อื่น ดังนั้นด้วยความยุติธรรม ควรอนุญาตให้มีการศึกษาสมาธิใน พระพุทธศาสนาอย่างอิสระ

ตามที่ท่านอธิบายไว้ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลี สมาธิในพระพุทธศาสนามี รากฐานมาจากประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์เอง และมาจากวิธีที่พระพุทธองค์ทรงนำมาใช้ในการทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้น สมาธิจึงเป็นศูนย์กลางแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนา และจะต้องถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา การปฏิบัติธรรมได้พัฒนามาเป็น ๒ ระบบ คือ สมาธิและวิปัสสนา เมื่อพิจารณาถึงหลักพื้นฐานของสมาธิ จะพบว่าสมาธิก็คือขบวนการพัฒนาวิญญาณให้มีรูปแบบที่สูงขึ้น อันจะเป็นหนทางสายเดียวที่ จะได้บรรลุพระนิพพาน

ทฤษฎีการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกสมาธิที่ถูกต้อง (สัมมา สมาธิ) ซึ่งเป็นยอดสูงสุดแห่งมรรคมีองค์  ๘ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครั้งแรกในปฐมเทศนา ของพระองค์ คือ พระธัมมจักกัปปวัตนสูตร แปลว่า พระสูตรซึ่งกล่าวถึงการหมุนล้อแห่ง พระธรรม มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นทางแห่งการตรัสรู้ด้วยตนเองและเป็นจุดมุ่งหมายของ พระพุทธธรรม เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” คือทางสายกลางที่มีชื่อ ดังนั้น เพราะมรรคมีองค์ ๘ มีแนวโน้มไปในทางแห่งความพอดี หลีกเลี่ยงที่สุด ๒ อย่าง คือ กามสุขัลลิกานุโยค คือการ หมกมุ่นในกาม และอัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบการที่ทำตนให้ลำบาก

การปฏิบัติตามวิถีทางนี้อยู่ในสายกลางคืออยู่ระหว่างที่สุดทั้งสอง โดยหลีกเลี่ยง ความเกินพอดีทั้งหมด ความเกินพอดีจะต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นไปในด้านใด เพราะมันเป็น เรื่องที่ไม่ดี ด้วยเหตุนี้เอง ชาวโลกผู้ไม่ประสงค์จะลดความปรารถนาในทางโลกจึงไม่สามารถ เจริญสมาธิได้แม้ผู้ที่บ้าคลั่งในการประพฤติพรต ก็ไม่สามารถจะเจริญสมาธิได้เช่นกัน เพื่อที่จะ ดำเนินตามทางสายกลาง จำเป็นจะต้องมีทั้งพลังและความคิด ดังนั้นเราจึงพบสูตรในการ ปฏิบัติธรรมว่า สัมมาสมาธิได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากหลัก ๒ ประการ คือ ความพยายาม ชอบ (สัมมาวายามะ) และการตั้งสติไว้ชอบ (สัมมาสติ) ในหลักทั้งสองนี้ ความพยายามชอบ ส่งเสริมให้เกิดความสามารถในผู้ที่มีจิตหมกมุ่นอยู่ในกามคุณ แต่การตั้งสติไว้ชอบเป็นหลักคุ้มกันไม่ให้บุคคลตกไปอยู่ในการประพฤติพรตที่เคร่งครัดเกินไป

สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีความบริสุทธิ์แห่งศีล เพราะศีลที่บริสุทธิ์จะช่วยให้บุคคลปราศจากความชั่วทางกายและความชั่วทางวาจาอันเป็นผลให้ปราศจากความชั่วทางใจ และดังนั้นบุคคลย่อมจะมีสัมมาวาจา (คำพูดที่ชอบ) สัมมาอัมมันตา (การงานที่ชอบ) และสัมมาอาชีวะ (การทำมาหาเลี้ยงชีพที่ชอบ) เหล่านี้เป็นหลัก ๓ ประการแห่งศีล หรือ ความบริสุทธิ์แห่งศีล ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จำเป็นอันจะนำไปสู่สมาธิ การฝึกตนในหลัก ทั้ง ๓ ประการนี้เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดปัจจัยสำคัญใน ชีวิตผู้เข้าฌาน ดังนั้น ในเบื้องต้น บุคคลจะต้องอบรมตนเองให้มีศีลบริสุทธิ์ตามหลักแห่ง ทางสายกลาง เพื่อบรรลุผลแห่งการเจริญสมาธิอย่างเต็มที่ ในขณะปัจจุบันและก้าวหน้าสูง ขึ้นๆ ตามสำดับ พระสาวกผู้ประดับประคองตนเองไปตามอุดมการณ์,เหล่านี้จะมีความเชื่อมน ตนเอง มีความบริสุทธิ์ในตนเอง ปราศจากความหวาดกลัวจากสิ่งภายนอก และด้วยเหตุนี้ย่อม   จะมีจิตสงบเย็น องค์ประกอบดังกล่าวนี้เป็นหลักประกันในอันที่จะบรรลุความสำเร็จในการเจริญสมาธิ

หลักแห่งทางสายกลาง ๒ อย่างที่เหลือคือ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง) และสัมมาสังกัปปะ (ความดำริที่ถูกต้อง) ก่อให้เกิดขั้นตอนสำคัญต่อมา นั้นก็คือ การได้มาซึ่งปัญญา คือความรู้ที่สมบูรณ์ ซึ่งจะได้มาจากศีลอันบริสุทธิ์และสมาธิ

ดังนั้น การฝึกจิตในพระพุทธศาสนาจึงมี ๓ รูปแบบ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งใน นิกายทั้งหลาย (ในพระสูตร) ท่านพระอรรถกถาจารย์เรียกว่า “ติวิธา สิกขา คือการฝึกจิต ๓ แบบ หลักนี้ได้รวมตัวขึ้นเป็น ๓ หมวดแห่งพระพุทธธรรมทั้งหมด ซึ่งมีชื่อว่า “กลุ่ม ๓” หรือ กอง ๓

หมวดทั้ง ๓ นี้ เมื่อพัฒนาเต็มที่ย่อมก่อให้เกิดพระอริยมรรค ๘ ประการ ความสัมพันธ์ ระหว่างพระอริยมรรค ๘ เหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในจุลลเวทัลลสูตร มัชฌิมนิกาย หลัก ๓ ประการ คือ สัมมาวาจา สัมมาอัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ประกอบอยูในศีล สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ประกอบอยู่ในสมาธิ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ ประกอบอยู่ในปัญญา

ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ระบบการฝึกตนเองตามหลักพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงที่สุด ย่อมสอดคล้องกับอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งนำบุคคลไปสู่ความหลุดพ้น คือ วิมุตติ ซึ่งเป็นการพ้นทุกข์ในที่สุด นี้เป็นระบบที่พระพุทธเจ้าทรงพบด้วยพระองค์เอง และทรงใช้เพื่อบรรลุพุทธภูมิ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ และภายหลังทรงเปิดเผยให้ชาวโลกได้ทราบกัน

“ศีล สมาธิ และปัญญา และธรรมสุดยอด คือ วิมุตติ
พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าโคดมได้ตรัสรู้แล้ว
ดังนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงทราบสิงเหล่านี้
จึงเป็นผู้ขจัดความทุกข์ เป็นบรมครูแห่งวิปัสสนา
มีความสงบอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงสอน
พระธรรมแก่พระสาวกทั้งหลาย”

ทฤษฎีแห่งการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนามีระบบดังกล่าวนี้เป็นพื้นฐาน และ การปฏิบัติธรรมได้พัฒนาออกไปเป็น ๒ วิธี คือ สมาธิ และวิปัสสนา ในสองวิธีนี้ การเจริญ สมาธิช่วยให้ผู้ปฏิบัติ มีความคิดเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งมีลักษณะก่อให้เกิดประโยชน์  และแล้วยกระดับความเข้าใจเรื่องนั้นไปสู่สภาวะที่เป็นนามธรรม ในการเจริญสมาธิแบบนี้    วิญญาณคือความรู้แจ้งจะถูกยกขึ้นจากระดับต่ำไปสู่ระดับสูง และในขณะเดียวกันก็จะขจัดความโน้มเอียงที่ต่ำทราม ซึ่งเรียกว่านิวรณ์ออกไปเสียได้ แต่สมาธิได้รับการพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงสุด คือ ไปสู่ระดับฌาน ซึ่งจิตจะค่อยๆ ปรับตัวมันเองเข้าไปสู่ความเข้าใจวัตถุต่างๆ ว่ามีสภาพเป็น นามธรรม การเจริญสมาธิระบบนี้เรียกว่า “สมาธิภาวนา”

สมาธิภาวนาก่อให้เกิดความบริสุทธิ์ในจิต ซึ่งจำเป็นสำหรับการมีความรู้ที่สมบูรณ์ และความบริสุทธิ์นี้ เป็นเหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดแสงสว่าง และภาพในจิตที่ชัดเจน ภาพในจิตดังกล่าวนี้ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากหลัก ๒ อย่าง คือ สัมมาสังกัปปะ และ สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นแนวนำให้เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดในความจริงของสิ่งที่มีอยู่ในโลก การพัฒนาความรู้ แจ้งหรือความรู้ทันสาระของสิ่งต่างๆ ที่ได้สังเกตเห็น เรียกว่า “วิปัสสนาภาวนา” และการพัฒนา ดังกล่าวจะนำไปสู่ความรู้ที่สมบูรณ์ ผู้ปฏิบัติผู้บรรลุถึงภูมิสูงสุดแห่งภาวนาย่อมเป็นพระ
อรหันต์คือผู้บรรลุถึงเป้าหมายแล้ว ที่กล่าวมานี้เป็นระบบที่ใหญ่ยิ่ง ๒ ระบบในการเจริญสมาธิใน พระพุทธศาสนา ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป
สารบัญ

No comments:

Post a Comment