Tuesday, June 28, 2016

คำนำ

คำนำ

    หนังสือเล่มนี้เป็นผลแห่งการสืบสวนถึงภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผลที่ได้รับ การบรรลุธรรม และจุดมุ่งหมายสุดท้ายในการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา ตามที่ค้นพบใน พระคัมภีร์ต่างๆ ของฝ่ายเถรวาทซึ่งแต่งไว้เป็นภาษาบาลี
    ในที่นี้ คำว่า สมาธิ ไม่ถือว่าเป็นการหลุดพ้นไปจากโลกซึ่งเป็นเชิงลบ แต่เป็นพลังที่ทรงความสามารถซึ่งเป็นเชิงบวก เป็นคุณธรรมที่สามารถยกสถานภาพของบุคคลจาก สภาพธรรมดาขึ้นสู่สภาพที่ประเสริฐได้ เป็นมรรควิถีที่ช่วยบุคคลให้ออกจากความมืด คืออวิชชาได้ และช่วยพัฒนาความฉลาดให้สูงขึ้นจนถึงจุดรู้แจ้งเห็นจริงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็น เป้าหมายสุดท้ายที่มนุษย์แสวงหา เป็นวิถีทางอันเดียวที่จะนำบุคคลไปถึงความหลุดพ้นในที่สุด ซึ่งเป็นความสุขนิรันดร พระพุทธเจ้าตรัสเรียกการหลุดพ้นนี้ว่า ‘‘นิรฺวาณ” (ตรงกับภาษาบาลีว่า นิพพาน) ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
    หลักฐานสำคัญสำหรับหนังสือเล่มนี้ได้มาจากตำราภาษาบาลี ซึ่งค้นคว้าจากสมาคม บาลีปกรณ์ในประเทศอังกฤษ ในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าพยายามเสนอเนื้อหา สาระจากหลักฐานและข้อมูลพื้นฐานที่พบในพระคัมภีร์ต่างๆ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ทั้งหลายตามลำดับ จนถึงจุดหมายขั้นสุดท้ายแห่งการเจริญสมาธิโดยทั่วๆไป โดยทั่วไปโครงการนี้ดำเนินการได้โดยอ้างถึงงานชิ้นสำคัญคือ วิสุทธิมรรค (ผลงาน) ของพระพุทธโฆษาจารย์เถระ ตามแนวทางที่กล่าวนี้ ได้พบความสลับซับซ้อนมาก จึงอาจมีข้อบกพร่องผิดพลาดได้    แต่ข้าพเจ้าได้พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อขจัดข้อบกพร่องดังกล่าว
ความคาบเกี่ยวกันของเนื้อหาสาระ ทำให้เกิดการซ้ำซ้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งนั้นไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ผู้อ่านจะพบว่าความซับซ้อนดังกล่าวช่วยให้ประเด็นที่ไม่กระจ่างและ เข้าใจยากกลายเป็นประเด็นกระจ่างชัดและเข้าใจง่ายขึ้น โดยการพิจารณาเรื่องนั้นๆ ในหลาย แง่มุมเพราะเรื่องบางเรื่องเมื่อมองในแง่เดียวอาจเข้าใจได้เป็นบางส่วนเท่านั้นแต่เมื่อมองหลายแง่มุม อาจเข้าใจได้อย่างครบถ้วน การเจริญสมาธิทุกรูปแบบ จะเกี่ยวโยงไปถึงคำสอนพุทธปรัชญา ขั้นพื้นฐาน และมีความสัมพันธ์กันในหลายประเด็น จนบางครั้งความจำเป็นในการอ้างอิงถึง เนื้อหาที่เกี่ยวข้องนั้นปรากฎเป็นงานที่ก้าวหน้าขึ้น
    ข้าพเจ้าใช้เวลา ๓ ปี คันคว้าหาข้อมูลที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เพื่อเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ภายใต้การควบคุม ของ ดร อี เจ ทอมัส (Dr  E J  Thomas) ขณะนั้นเป็นรองบรรณารักษ์ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าขอบันทึกไว้ในที่นี้ว่าบุคคลผู้นี้มีความกรุณาต่อ ข้าพเจ้ามาตลอดเวลาการค้นคว้าของข้าพเจ้า และขอขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย
    อนึ่ง ข้าพเจ้าขอขอบคุณบุคคลต่อไปนี้ ผู้ได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าด้านข้อมูลต่างๆ ในช่วง เวลาการค้นคว้าที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ คือ นายบี แอล บรูดัน (Mr  B L  Bronkton) นายเอ จี   กร้านด์ และนางอี กร้านด (Mr  A G Grant, Mrs E  Grant) และ บุตรชายของเขา นายอลัน กร้านด้  (Mr  Alan Grant) นายฟรานซิส เจ  เพนี (Mr  Francis J Payne), และนางสาวคอนสแตนต์ หลุยส์เบรี (Miss Constant Lounsberg) จากปารีส
    ในช่วงเวลาการค้นคว้านั้น ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปรึกษากับบุคคลหลายคนเกี่ยวกับ เนื้อหาสาระของวิทยานิพนธ์และบุคคลเหล่านั้นได้ให้กำลังใจและช่วยเหลือข้าพเจ้าเป็นอย่างดีคือ ดร  ดับเบิลยู สตีด (Dr W. steede) ศาสตราจารย์ทางภาษาบาลี มหาวิทยาลัยลอนดอน ดร ดับเบิลยู วาย อีแวนซ์เวนช์ จีชัส (Dr W Y  Evanswentz) มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด
    ในที่สุด ข้าพเจ้าขอขอบคุณ นาย ฟรานซีส สตอรี (Mr  Francis Story) ผู้ได้ช่วยตรวจ  ปรู๊ฟและเขียนคำนำซึ่งอธิบายถึงความสำคัญของเนื้อหาวิชาตามความเข้าใจพระพุทธธรรม อย่างลึกซึ้งของเขา
    ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์คุ้มค่าสำหรับผู้ช่วยเหลือทุกๆ คนซึ่งถูกเอ่ยนามข้างบนนี้รวมถึงสำนักพิมพ์และผู้พิมพ์โฆษณาด้วยขอให้ได้พระนิพพาน ทุกคนเทอญ

พระ ดร. ปรวาแฮระ วชิรญาณ
(Ven Dr.  P.  VAJIRAYANA)
โคลัมโบ
สิงหาคม ค ศ  ๑๙๖๑

No comments:

Post a Comment