บทที่ ๓
คำกำจัดความ
ในการอธิบายภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของสมาธิ พระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาใช้ ศัพท์เฉพาะจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่จะแปลศัพท์เหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ ศัพท์ภาษาอังกฤษที่แน่นอน เพื่อความสะดวกและชัดเจน ควรสังเกตไว้ในที่นี้วาศัพท์เฉพาะ ทั้งหมดที่กล่าวถึงในที่นี้ใช้ตามความหมายทางพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด๑ สมาธิ
คำว่า “สมาธิ” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Concentration เป็นศัพท์ที่ สำคัญที่สุดในบรรดาศัพท์เฉพาะทั้งหลาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นศัพท์ดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงใช้มาด้วยพระองค์เอง เพราะศัพท์นี้ปรากฎในปฐมเทศนาของพระองค์ ทรงใช้ในความหมายของ “สัมมาสมาธิ” ศัพท์ว่า “สมาธิ” มาจาก สํ (อุปสัคร) อา(อุปสัคร) ธา(ธาตุ) ในความหมายว่า “ใส่หรือวางไว้ด้วยกัน”, “รวม”, “จดจ่อ” เป็นสภาวะแห่งจิตระดับหนึ่ง ในทางวิชาการ ศัพท์นี้หมายถึงทั้งระดับของจิตและวิธีที่กำหนดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดจิตระดับนั้นขึ้นมา
ในบทสนทนาระหว่างนางธรรมทินนา กันอุบาสิกานามว่าวิสาขา ซึ่งปรากฎในคัมภีร์ มัชฌิมนิกาย ได้มีการอภิปรายกันว่าสมาธิเป็นทั้งระดับของจิตระดับหนึ่ง และเป็นวิธีการฝึกจิต แบบหนึ่ง นางวิสาขาถามว่า สมาธิ คืออะไร? นางธรรมทินนาตอบว่า สมาธิ คือ จิตฺตสฺส เอกคฺคตา (ตามศัพท์แปลว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของจิต) อะไรก่อให้เกิดสมาธิ ? สติปัฏฐาน ๔ (คือการใช้สติ ๔ แบบ) ก่อให้เกิดสมาธิ สิ่งที่จำเป็นสำหรับสมาธิคืออะไร? สมัปปธาน ๔ (คือ ความพยายามอันสูงสุด ๔ อย่าง) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสมาธิ การเจริญสมาธิคือการสร้าง และเพิ่มพูนสติและความพยายามอันยอดยิ่ง
ในการอภิปรายนี้ สมาธิ ในฐานะเป็นสภาวะของจิตระดับหนึ่ง ท่านให้คำจำกัดความว่า “จิตฺตสฺส เอกคฺคตา” และปรากฎว่า คำจำกัดความนี้เป็นคำจำกัดความครั้งแรกของคำว่า “สมาธิ” ในพระสูตรต่างๆ (ส่วน) ในพระอภิธรรมท่านใช้คำจำกัดความนี้และนำเอาคำอื่นมา อธิบายโดยละเอียด คำเหล่านี้จะคล้ายกันมากและเกือบจะเป็นคำที่ใช้แทนกัน
ในคัมภีร์พระธรรมสังคณีท่านให้คำจำกัดความของข้อความ”จิตฺตสฺสเอกคฺคตา” ดังต่อไปนี้
ยา จิตฺตสฺส ฐิติ, สณฺฐิติ อวฏฐิติ อวิสาหาโร,
อวิกฺเขโป, อวิสาหฏมนสตา, สมโถ, สมาธินฺทฺริยํ
สมาธิพลํ, สมฺมาสมาธิ ซึ่งหมายความว่า ความมั่นคง การตั้งมั่นและความแน่นอน ของจิต, ความไม่ฟุ้งซ่านของจิต, ความไม่วอกแวกและ, สภาวะที่ไม่กระจายไปของจิต, ความสงบของจิต อำนาจและพลังแห่งการรวมจิต, สัมมาสมาธิ
คำเฉพาะเหล่านี้แม้จะมีรูปต่างกัน และมีความหมายในลักษณะต่างกัน แต่ก็รวมอยู่ใน ความหมายอันเดียวคือ สมาธิซึ่งได้แก่ จิตฺตสฺส เอกคฺคตา พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายคำนี้ ว่า “จิตฺตสฺส เอกคฺคภาโว จิตฺเตกคฺคตา สมาธิสฺส เอตํ นามํ” ซึ่งหมายความว่าความเป็นหนึ่งเดียวของจิตเรียกว่า จิตเตกคฺคตา และคำนี้เป็นชื่อของสมาธิ
ในวิสุทธิมรรคพระพุทธโฆษาจารย์ได้ให้คำจำกัดความเช่นเดียวกันนี้ แต่ใช้คำเพิ่มขึ้น อีกคำหนึ่ง คำพิเศษนี้ให้ความหมายของคำว่าสมาธิมากยิ่งขึ้น คือคำว่า “กุสลจิตฺเตกคฺคตา” นั่นก็คือ ความเป็นหนึ่งเดียวของจิต ได้แก่สภาพที่รวมไว้ของกุศลจิต ในคัมภีร์อัตถสาลินี ท่านกล่าวว่า ความหมายของคำนี้เป็นความหมายของคำว่า สัมมาสมาธิ ดังนี้ “สมฺมาสมาธีติ ยถาสมาธิ กุสลสมาธิ” = สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิอันเหมาะสม หรือกุศลสมาธิ อนึ่งสมาธินี้ได้แก่ นิยฺยานิกสมาธิ คือสมาธิที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส
ดังนั้น ในพระพุทธศาสนา จึงควรเข้าใจว่า สมาธิคือสภาพของจิตอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็น ขั้นต้นที่จำเป็นในการก้าวสูงขึ้นไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ หรือความหลุดพ้นจากกิเลสในที่สุด ลักษณะเด่นของสภาพอันนี้คือการไม่มีความฟุ้งซ่านหรือปั่นป่วนในจิตการรวมกัน แห่งสภาพของจิตซึ่งเกิดขึ้นกับจิตนั้นเป็นหน้าที่อันสำคัญของจิต ความสงบ และความรู้ว่าสงบ เป็นปรากฎการของจิต เมื่อบรรลุสภาพดังนี้ ความมัวหมองอันเกิดจากกิเลสก็จะหมดสิ้นไป และจะมีความสงบอันเกิดจากวิปัสสนาเข้ามาแทนที่ ดังนั้น ในทุกแง่มุม คำว่าสมาธิใน พระ พุทธศาสนาจึงเป็นสภาพที่ดี ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพที่ไม่ดีและปราศจากความรู้
หรือสภาพของจิตที่ถูกสะกดไว้
ชื่อนี้ใช้เรียกวิธีหรือระบบแห่งการฝึกสมาธิซึ่งจะนำไปสู่สภาพของจิตที่สมดุลและสงบ และในที่นี้ วิธีนี้จึงเรียกว่า สมาธิ หรือ สมาธิภาวนา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวิปัสสนา คำอธิบายของ นางธรรมทินนาซึ่งยกมากล่าวข้างบนนั่น อ้างอิงว่าวิธีฝึกสมาธิก็คือภาวนานั่นเอง หรือได้แก่การ ตั้งสติมั่น และความพยายามอันยิ่ง ซึ่งเป็นหลัก ๒ อย่าง คือ สัมมาสติ และสัมมาวายามะ ในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีสัมมาสมาธิเป็นธรรมขั้นสุดยอด เมื่อเจริญสัมมาวายามะ ซึ่งหมายถึงพลัง กายและจิตที่ได้รับการควบคุมอย่างดีพร้อมกับสัมมาสติแล้ว ผลที่ได้ก็คือสมาธิซึ่งตั้งมั่นอย่างดี ทั้งนี้เพราะว่าสัมมาวายามะย่อมสนับสนุนส่งเสริมสมาธิโดยป้องกันไม่ให้สมาธิจมลงไปสู่สภาพ ที่เซื่องซึมทางจิต สัมมาสติทำให้จิตมั่นคงด้วยคุณธรรมต่างๆ และทำหน้าที่เป็นหลักแนะซึ่ง ทำให้จิตตื่นอยู่เสมอและมั่นคงในสภาพที่มีสมาธิโดยไม่ปล่อยให้จิตตกไปสู่สภาพใต้สำนึกหลักทั้ง ๒ นี้ เป็นพลังร่วมกันสร้างสัมมาสมาธิ และความก้าวหน้าของหลักเหล่านี้ครอบคลุมสมาธิทุก รูปแบบซึ่งมีเป็นธรรมดาสำหรับระบบทั้ง ๒ คือ สมาธิ กับวิปัสสนา แต่เมื่อใช้คำว่าสมาธิใน ความหมายว่า “วิธี” จะต้องเข้าใจว่าท่านหมายถึงระบบซึ่งนำไปสู่สมาธิในขั้นต้น คือก่อนจะ บรรลุวิปัสสนา
จากที่กล่าวแล้ว เป็นที่ชัดแจ้งว่าสมาธิทั้งในความหมายตามตัวอักษรและความหมาย ทางวิชาการ หมายถึงสภาพของจิตซึ่งจะต้องพัฒนาวิธีการฝึกที่มีระบบ การฝึกนี้ปลูกฝังนิสัย การฝึกจิตซึ่งก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางจิตซึ่งมีในร่างกายมนุษย์หรือผ่านร่างกายมนุษย์จนถึงจุด ที่มีแสงสว่างในตัวเอง
๒ เจโตสมาธิ
คำว่า เจโตสมาธิ ใช้หมายถึงสมาธิที่ก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่ง (ฌาน) ซึ่งคนนอก พุทธศาสนาฝึกกันคนเหล่านี้ใช้เจโตสมาธินี้เพื่อส่งเสริมการคาดคะเนชีวิตในอดีตชาติของตนเป็นต้น ในที่นี้ คำว่า เจโตสมาธิก็หมายถึงจิตที่มีสมาธิแต่ในระดับที่พัฒนา ซึ่งเมื่อจิตอยู่ในสมาธิเช่นนี้ บุคคลจะมีความรู้หรือความ สามารถในการระลึกได้ถึงชีวิตในอดีตชาติ (ปุพเพนิวาสานุสติญาน ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาอภิญญา ๕ อย่าง) อย่างไรก็ตาม ท่านใช้คำนี้เป็นไวพจน์ของคำว่าสมาธิ โดยทั่วๆ ไป แต่ใช้กับคำกริยาพิเศษคำหนึ่งคือคำว่า “ผุสติ” ดังนี้ เจโตสมาธิ ผุสดี = พระโยคาวจรมาสัมผัสกับเจโตสมาธิ ข้อนี้แสดงว่า คำนี้ หมายความว่าสภาพของสมาธิได้มีมาก่อน แล้วในอดีต เปรียบเทียบได้กับการบรรลุฌาน ซึ่งผู้เข้าฌานนี้จะเห็นภาพบนสวรรค์ แต่ในเมื่อใช้ในทางพุทธศาสนา คำนี้มีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง
๓ เจโตวิมุตติ
เมื่อสมาธิได้เจริญก้าวหน้าไปถึงจุดสุดยอดในหนทางไปสู่พระนิพพานและเพียบพร้อม ไปด้วยความรู้อันสมบูรณ์ สมาธิจะถอดจิตออกจากมวลกิเลสทั้งหลายที่มีในจิต และบรรลุ ถึงอรหัตผล ในขั้นนี้สมาธิจะถูกนำมาใช้กับเอกัคคตาจิตของพระอรหันต์ และเรียกชื่อว่า เจโตวิมุตติ คือการหลุดพ้นแห่งจิต นี้เป็นขั้นสูงสุดและขั้นสุดท้ายแห่งสมาธิ ซึ่งมีชื่อว่า ผลสมาธิหรือสมาธิซึ่งก่อให้เกิดอรหัตผล แต่ท่านใช้คำว่าเจโตวิมุตติเพื่อหมายถึงขั้นต่าง ๆของ สมาธิโดยทั่วไปด้วย ในมหาลิสูตร คำว่า “เจโตวิมุตติ” บ่งถึงจิตของพระอรหันต์ซึ่งปราศจาก สังโยชน์คือเครื่องผูกพันแห่งกิเลสทั้งหลาย แต่ในสัมปสาทนิยสูตร ท่านใช้คำนี้หมายถึงขั้นของ สมาธิในปฐมฌานซึ่งเกิดจากการ เพ่งพินิจในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เจโตวิมุตติ เป็นคำที่ใช้เรียก สมาธิซึ่งพัฒนาเพียงบางส่วนและไม่แก่กล้า ดังนั้นเราจะพบว่าคำว่า เจโตวิมุตติ ใช้ได้หลายอย่าง แต่ในทุกกรณีท่านจะหมายถึงสภาพ (จิต) ที่ก้าวหน้า
๔ เจโตสมถะ
สมาธิ ย่อมมีอิทธิพลด้านดีต่อจิตของผู้ปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเอง เพราะสมาธิเป็น สภาพที่มีความเป็นหนึ่งแห่งจิต สมาธิย่อมระงับความฟุ้งซ่านและความเร่าร้อนแห่งจิต ระงับ ความหวาดกลัว และประดิษฐ์และรักษาไว้ซึ่งความสงบเย็นภายในไว้ได้ สภาพของสมาธิจึงได้รับคำอธิบายว่า “เจโตสมถะ” คือความสงบแห่งความคิดหรือความสงบทางจิต เราจะพบว่า ท่านใช้คำว่า “สมถ” ในความหมายว่า “สงบ” ซึ่งบ่งชี้ถึงระบบที่รู้กันว่า “สมถภาวนา”
๕ จิตฺตภาวนา
วิธีฝึกจิตตามแนวพระพุทธศาสนา ท่านกำหนดไว้เพื่อวัตถุประสงค์ ๒ อย่าง คือการอบรมจิต และการอบรมวิปัสสนา ณ ที่นี้คำว่า จิตฺตภาวนา คือ การอบรมจิต หรือการพัฒนาจิต ท่านใช้หมายถึงระบบแห่งสมาธิ ในระหว่างการฝึกสมาธิอันมีระบบนั้น จิตย่อมได้รับการฝึกจน กระทั่งอำนาจจิตทั้งหมดถูกนำเข้ามารวมกันเมื่อสมาธิได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และจิตก็บรรลุถึงความเป็นใหญ่ในตัวเอง ในสภาพเช่นนี้จิตย่อมสามารถต้านทานกระแสแห่งความรู้สึกไม่ว่า จะเป็นความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ตาม จิตย่อมสามารถทนต่อความเจ็บปวดปางตายและตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งยั่วเย้าทางประสาทสัมผัส ดังนั้น การฝึกสมาธิท่านจึงเรียกว่า “จิตฺตภาวนา” และเกี่ยวพันถึงการฝึกอบรมทางจิตและทางร่างกาย ระบบของการฝึกสมาธิ ทั้งหมดท่านได้อธิบายไว้ในหนังสือวิสุทธิมรรคของท่านพระพุทธโฆษาจารย์โดยใช้คำว่า“จิตฺตภาวนา”
๖ จิตฺตวิสูทุธิ
ในฐานะที่เป็นคุณภาพทางจิตชนิดหนึ่ง สมาธิซึ่งชำระจิตให้สะอาด ปราศจากมลทิน และสิ่งมัวหมองคือกิเลสทั้งหลาย ดังนั้น จึงมีชื่อว่า จิตฺตวิสุทฺธิ
พระสารีบุตรเถระและพระปุณณเถระได้อภิปรายคำนี้ไว้ใน รถวินีตสูตร ซึ่งท่านได้อธิบาย ถึงระบบชีวิตตามแนวแห่งศาสนาไว้ในพระสูตรนี้ พร้อมกับวิสุทธิ หรือความบริสุทธิ์ ๗ ระดับ คำนี้ใช้หมายถึงสภาพแห่งความบริสุทธิ์แห่งจิตในทางแห่งวิปัสสนา
๗ อธิจิตฺต
เมื่อจิตบรรลุถึงสภาพแห่งสมาธิ จิตจะยกระดับของตนขึ้นสูงและมีลักษณะสูงกว่าสภาพของจิตธรรมดาสามัญ ซึ่งเป็นทาสแห่งสิ่งกระตุ้นและความรู้อันเกิดจากอายตนะภายนอก ทั้งหลาย เมื่ออยู่ในสภาพสูงเช่นนั้น จิตก็จะอยู่ในสภาพอันหนึ่งซึ่งอารมณ์ภายนอกไม่สามารถ มากระทบได้ และเมื่อนั้นจะได้พบว่า อธิจิต คือจิตที่ยิ่งและข้อนี้บ่งถึงลักษณะที่สูงขึ้นโดยผ่าน ความเจริญขั้นต่างๆ คำนี้ได้รวบรวมการฝึกจิตทั้งหมดทุกระบบเข้าไว้โดยกล่าวว่า “อธิจิตฺตสิก ขา = การฝึกจิตที่สูงขึ้น
คำข้างบนนี้เป็นคำสำคัญที่สุดที่ท่านใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันแห่งสมาธิระดับต่าง ๆ และวิธีบรรลุสมาธินั้น ท่านใช้คำเหล่านี้โดยทั่วๆ ไปในคัมภีร์พระไตรปิฎกเพื่อชี้ให้เห็นหลักของ การฝึกสมาธิ
๘ วิปัสสนา
คำว่า “วิปัสสนา” เป็นคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาโดยแท้ และมีความหมายเด่นโดยเฉพาะ คำนี้มาจากคำกริยาภาษาบาลี “วิปสฺสติ” = เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งหมายความว่าเห็นแจ้งหรือแทงตลอดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นคำ “วิปัสสนา” จึงแปลไว้ดีที่สุดว่าการมองเห็นทะลุปรุโปร่งในภายใน คำที่ใช้เป็นคำจำกัดความของคำว่า วิปัสสนา ได้แก่คำว่าปัญญา คือความรู้ที่สมบูรณ์ และคำว่า ญาณทัศนะ คือ ความรู้และการมองเห็นชัด และคำอธิบายคำ
จำกัดความเหล่านี้ท่านมักให้ไว้ในพระสูตรทั้งหลาย แต่ท่านอธิบายไว้โดยละเอียดในพระอภิธรรมปิฎก คำนี้หมายถึงความรู้ที่สมบูรณ์ซึ่งได้รับจากการพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ซึ่งมีอยู่ในโลก คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ในหลักแห่งสมาธิคำนี้บ่งถึงระบบทั้งหมดซึ่งมุ่งหมายจะให้เกิดความรู้และการมองเห็น ดังกล่าวนั้นโดยการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติสมาธิวิธีนั้น ในพระคัมภีร์ทั้งหลาย จะพบว่าท่านใช้คำ วิปัสสนาคู่กับคำสมถะเสมอๆ เมื่อท่านแบ่งสมาธิออกเป็น ๒ ระบบ คือ สมถะสมาธิ และ วิปัสสนาสมาธิ
๙ ฌาน
ในระบบของสมาธิ ฌานมีสถานภาพที่สำคัญยิ่ง แต่ในเรื่องของสมาธิแล้วไม่มีคำใดที่ แปลเป็นภาษาอังกฤษกันผิดๆ และสับสนเช่น คำภาษาบาลีว่า “ฌาน” นี้เลย คำนี้มีความหมาย พิเศษ และมีใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “สุยาน” ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันมากในปรัชญาโยคะ คำว่า “ฌาน” มีรูปศัพท์มาจากคำกริยาภาษาบาลีว่า “ฌายติ” แปลว่า คิด, เพ่ง, พินิจ มีปรากฎในฌาน ๔ ในพระพุทธศาสนาสิ่งภายหลัง ขยายออกเป็น ๕ พระพุทธโฆษจารย์ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ฌาน” ไว้ในหนังสือ สมันตปาสาทิกา ดังต่อไปนี้:
ฌายติ อุปนิชฺฌายตีติ ฌานํ การคิดคือคิดอย่างใก้ลชิดในเรื่องหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเรียกว่า ฌาน หรือข้อความว่า “อิมินา โยคีโน ฌายนฺตีติ ฌานํ พระโยคีย่อมคิดหรือเพ่งด้วยฌานนี้ ดังนั้นสภาพที่เพ่งนั้นจึงเรียกว่าฌาน จากนั้นพระพุทธโฆษาจารย์ ได้เชื่อมคำนี้กบคำกริยา ศัพท์ว่า “ฌายติ” ซึ่งแปลว่า เผาไหม้และให้คำจำกัดความดังนี้ ปจฺจนีกธมฺเม ฌาเปตีติ ฌานํ ธรรมชาติที่เผาผลาญสิ่งที่เป็นข้าศึก เรียกว่า ฌาน ปจฺจนีเกธมฺเม ทหติ โคจรํ วา จินฺเตตีติ อตฺโถ หมายความว่า ธรรมชาติที่เผาผลาญสิ่งอันเป็นข้าศึกทั้งหลาย หรือธรรมชาติที่เพ่งวัตถุที่เหมาะ สมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรียกว่าฌาน ดังนั้นการคิดอย่างไม่ลดละจึงเป็นเครื่องหมายของฌาน ฌาน มี ๒ ประเภท คือ
๑ ฌานที่คิดอารมณ์ทางใจอย่างใกล้ชิด (อารมมณูปนิชฺฌานํ)
๒ ฌานที่เพ่งลักษณะของอารมณ์ทางใจนั้น (ลกฺขณูปนิชฺฌานํ)
ในฌาน ๒ ประเภทนี้ ประเภทแรกหมายถึงขั้นแห่งฌาน ๘ ขั้น คือ รูปฌาน ๔และอรูปฌาน ๔ ซึ่งเรียกกันว่าสมาบัติ ๘ คือการบรรลุ ๘ อย่าง และฌานที่เรียกว่า อุปจารฌาน ดังนั้น จึงแบ่งออกเป็นฌาน ๙ในบรรดาฌาน ๙ นี้อุปจารฌานจัดเป็นฌานขั้นดัน และฌานอื่นๆ ทั้งหลายเป็นขบวนการพัฒนาต่อเนื่องในระบบสมาธิ ฌานประเภทที่ ๒ มี ๓ อย่าง คือ
๑ วิปัสสนา
๒ มรรค
๓ ผล
ในบรรดาฌาน ๓ อย่างนี้ วิปัสสนาจะตรวจสอบดูเครื่องหมายซึ่งเป็นลักษณะของวัตถุต่างๆ ในโลก แต่หน้าที่ของวิปัสสนาจะสมบูรณ์บริบูรณ์ในมรรค ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะที่เหนือโลก ดังนั้น โดยแท้จริงแล้ว มรรคมีชื่อเรียกว่า ลักขณูปนิชฌานะ ฌานที่สัมพันธ์กับผลย่อมก่อให้ เกิดผลในการบรรลุธรรมชาติที่เหนือโลก (โลกุตตระ) ย่อมเข้าใจธรรมชาติของพระนิพพาน อย่างแจ่มแจ้งสมจริง และดังนั้นจึงเรียกชื่อว่า ‘‘ลักขณูปนิชฌาน”
จากนั้นพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าบุคคลจะต้องเข้าใจว่าฌานเป็นเครื่องรู้ ธรรมชาติของจิต ๕ อย่าง คือ องค์ฌาน ๕ ได้แก่ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา ในคัมภีร์ วิภังค์ เราพบคำถามว่า “ฌานคืออะไร” ฌานได้แก่วิตก วิจารณ์ เป็นต้น
คำอธิบายเรื่องฌานของพระพุทธโฆษาจารย์ซึ่งพบในคัมภีร์อื่นๆ เกือบจะเหมือนกับที่ กล่าวแล้ว
ดังนั้น คำจำกัดความของคำ “ฌาน” ในอรรถกถาทั้งหลายให้ที่มาของคำ ๒ อย่างคือ จากคำกริยาศัพท์ว่า”ฌายติ”หรือคำว่า”ฌาเปติ” คำว่าฌายติปรากฎบ่อย ๆในนิกายทั้งหลาย ในความหมายว่าเพ่ง และคำนามว่า “ฌายิ” (ผู้คิด) ใช้ในความหมายว่า “ผู้เพ่ง” แต่กริยาศัพท์ “ฌาเปติ ” ซึ่งใช้เมื่อให้คำจำกัดความของคำ ฌาน จะพบได้เฉพาะในที่แห่งเดียวในข้อความต่อไปนี้
“อชาตํ ฌาเปติ ชาเตน ฌานํ เตน ปวุจฺจติ”
= ฌานย่อมเผาสิ่งที่ยังไม่เกิดผ่านสิ่งที่เกิดแล้ว ดังนั้น จึงเรียก ฌาน ในอรรถกถาของอาจารย์มหามามะจะพบข้อความดังนี้
“ผู้ที่มีฌานนี้เกิดขึ้นในตน ย่อมเผาผลาญกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายเสียได้ ดังนั้น เขาจึงทำลายและกำจัดกิเลสเหล่านั้น ดังนั้น สภาพอันนี้ จึงเรียก ฌาน ในความหมายว่า “เผาผลาญ”
จากคำอธิบายทั้งหลายที่กล่าวมาจะต้องเข้าใจความหมายรวมๆ ของคำว่า “ฌาน” ว่า ได้แก่การพัฒนาจิตจากสภาพเดิมซึ่งต่ำไปสู่สภาพที่สูงขึ้น และมโนภาพที่ได้จากการเจริญ กรรมฐานซึ่งเผาผลาญกิเลสใบจิต ซึ่งด้วยการพัฒนาดังกล่าวนี้ผู้เจริญสมาธิย่อมได้รับความรู้ อันเหนือธรรมดา เมื่อสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น
เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ขอใช้คำภาษาบาลีว่า “ฌานํ” เพื่อแสดงถึงขบวนการทาง จิตซึ่งพัฒนาแล้ว ทั้งในสมาธิวิธีและวิปัสสนาวิธี
๑๐ ภาวนา
ด้วยวิธีการพัฒนาจิต ท่านจึงเรียกสมาธิว่า “ภาวนา” คำว่าภาวนานี่ไม่เหมือนกับคำ เฉพาะอื่นๆ ท่านใช้คำว่า “ภาวนา” เพื่อบ่งบอกถึงวิธีการปฏิบัติเพื่อฝึกจิตอย่างเดียวเท่านั้นใน ลักษณะที่ก้วางขวาง คำนี้ครอบคลุมถึงระบบทั้งหมดรวมถึงการปฏิบัติซึ่งได้รับการพัฒนาจาก ภาวนานี้ เมื่อคำว่าภาวนาปรากฎในคัมภีร์ต่างๆ นั้น โดยปกติจะบ่งถึงการปฏิบัติหรือการปลูก ฝังสมาธิ และกริยาศัพท์คำว่า “ภาเวติ” ท่านใช้เพื่อบ่งบอกถึงการกระทำคือการปฏิบัติ หรือการปลูกฝัง เช่น
๑ เมตฺตํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ แปลว่า ดูก่อนราหุล เธอจงปฏิบัติเมตตาภาวนา
๒ อสุภาย จิตฺตํ ภาเวติ จงปลูกฝังจิต ในสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ (หรือจงเจริญอสุภภาวนา)
คำว่า ภาเวติไม่เหมือนกับคำว่า ฌายติ (ซึ่งใช้เฉพาะเพื่อบ่งชี้ถึงการเพ่งอารมณ์หรือ การยึดนิมิตซึ่งได้รับจากกรรมฐาน) ท่านใช้ภาเวติ หมายถึงการพัฒนาทางจิตทุกรูปแบบ เช่น กุสลํ จิตฺตํ ภาเวติ เขาปลูกฝังหรือเพิ่มพูนกุศลจิต ฌานํ ภาเวติ สมาธิ ภาเวติ วิปสฺสนํ ภาเวติ มคฺคํ ภาเวติ เขาเจริญฌาน เจริญสมาธิ เจริญวิปัสสนา เจริญมรรค เป็นต้น
คำว่า ภาวนาท่านใช้ร่วมทับคำซึ่งบ่งถึงอารมณ์ของกรรมฐาน เช่น ฌานภาวนา สมาธิ ภาวนา เมตตาภาวนา เป็นต้น เพื่อแบ่งแยกสมาธิชนิดต่างๆ ออกไป
พระพุทธโฆษาจารย์ให้คำจำกัดความของคำว่า “ภาเวติ” ว่า มาจาก ภู ธาตุ ซึ่งแปลว่า เป็น เป็นอยู่ กลายเป็น และเปรียบเทียบทับคำว่า ชเนติ (ก่อให้เกิด, ผลิต) อุปฺปาเทติ (ทำให้ เกิดขึ้น) และวฑฺเฒติ (เพิ่มหรือพัฒนา) ท่านยกข้อความจากคัมภีร์ต่างๆ มาอ้าง เพื่อแสดงว่า คำว่า ภาเวติ ท่านใช้ในความหมายว่า “ผลิต” และ “เพิ่มพูน”
“ยิ่งกว่านั้น ดูก่อนอุทายี, ตถาคตได้สอนวิธีซึ่งสาวกทั้งหลายของตถาคตเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ณ ที่นี้ในมหาสกุลุทายิสูตร ภาวนาหมายถึง “การผลิต” และ “การเพิ่มพูน”
ในที่อื่น พระพุทธโฆษาจารย์ กล่าวว่า “ภาเวติ” หมายถึง “ทำให้เกิดหรือผลิตบ่อยๆ ภายในตนเอง” นั้นก็คือ การผลิต การพัฒนาอารมณ์โดยรักษาไว้ในจิตของตนเอง
จากคำจำกัดความเหล่านี้ของพระอรรถกถาจารย์และจากการใช้ในพระคัมภีร์ทั้งหลาย จะเห็นได้ว่าคำว่าภาวนามีความหมายที่มั่นคงกว่า และแข็งแกร่งกว่าคำว่า Meditation ในภาษาอังกฤษ มีการแปลคำว่า “ภาวนา” กันไปต่างๆ เช่น แปลว่าผลิตได้มา, เป็นใหญ่, พัฒนา,ปลูกฝัง,หวลระลึก,และ รำพึงณที่นี้จะใช้คำนี้ในความหมายว่าปฏิบัติ,และว่าปลูกฝัง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนที่แสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องกับธาตุ คือ “ภู” ธาตุ (เป็น, กลายเป็น) อย่างชัดเจนมากกว่าคำภาษาอังกฤษ ว่า Meditation
จริงอยู่ ใน “ภาวนา” ย่อมมีการดำเนินไปแห่งความคิดคล้ายกับการดำเนินไปอัน เกี่ยวกับมนต์ทางจิต และมีการกล่าวคำหรือวลีบางอย่างขณะเจริญภาวนาแบบต่างๆ เช่นคำว่า “ปฐวี” (แผ่นดิน) “ปฐวี” (แผ่นดิน) ในการเพ่งกสิณ หรือวลีที่ว่า “ขอให้มีความจริง” “ขอให้มี ความสุข” ในการเจริญเมตตา ดังเช่นการสาธยายด้วยปาก แต่ภาวนามีลักษณะยิ่งกว่านั้น ภาวนา คือการคิด ในลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งเพื่ออบรมอะไรบางอย่างให้มีในตน อะไรบางอย่างที่ดีเสมอๆ ดังนั้น สิ่งจำเป็นใน “ภาวนา” ก็คือปัจจัยซึ่งเป็นผลของภาวนานั้นอันเป็น ปัจจัยซึ่งผลิตหรือทำให้ปรากฎซึ่งคุณภาพหรือความจริงที่จำเป็น ซึ่งมีอยู่ในอารมณ์แห่งความคิดภายในนิสัยของบุคคลแต่ละคน เช่น เมื่อบุคคลเจริญเมตตาภาวนา บุคคลจะไม่คิดถึงเฉพาะ มิตรภาพเท่านั้น แต่จะต้องทำให้มิตรภาพเกิดขึ้นและเจริญมากยิ่งขึ้นในใจของเขาด้วย เพื่อจะได้ขจัดเสียซึ่งความคิดอันจะมีไปถึงศัตรู ความคิดผูกพยาบาท ความคิดเกลียดซัง และความคิดอื่นๆ และในที่สุด พระโยคาวจรจะมีความเป็นมิตรต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ในความหมายนี้ ภาวนาจึงเป็นคุณธรรมที่เหมาะสมยิ่ง
โดยสรุป ขอกล่าวว่า คำว่า “ภาวนา” หมายถึงการสะสมคุณธรรมทั้งหลายไว้ในตนเพื่อที่จะบรรลพุระนิพพาน ยิ่งกว่านั้น ภาวนายังเป็นคำที่แพร่หลายและใช้ทันเสมอแทนคำว่าสมาธิ ในฐานะเป็นส่วนแห่งชีวิตทางศาสนาในนิกายเถวาท
๑๑ โยคะ
คำว่า “โยคะ” ซึ่งเป็นคำเฉพาะใช้ในปรัชญาสางขยะโยคะ และในระบบแห่งสมาธิซึ่ง พัฒนาแล้วในปรัชญานั้น ไม่ใช้คำที่ใช้กันทั่ว ๆไปในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา แต่คำนี้ก็เป็นคำ ที่คุ้นหูสำหรับนักศึกษาในพระพุทธศาสนา เพราะคำนี้ท่านใช้ในความหมายว่า “กิจกรรมทางจิต และ สมาธิ”
คำนี้เกิดขึ้นในคัมภีร์สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ในข้อความว่า “ปติสลฺลานโยค” ซึ่งหมายถึง “เชื่อมกับ” “ตรงเข้าไปข้างใน” หรือ “การก้าวไปสู่ความสงบภายใน” แต่ในขณะ เดียวกันวลีที่ว่า “โยโค” กรณีโย ท่านใช้บ่อยๆ ในความหมายที่ว่า “ควรประพฤติโยคะ หรือทำความพยายามในการฝึกสมาธิ” และจะพบคำนี้ใช้ในความหมายว่า”สมาธิ” เช่นใน ข้อความต่อไปนี้ “โยคา เว ชายเต ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย” แปลว่า ปัญญาย่อมเกิดจากโยคะ ถ้าปราศจากโยคะ ปัญญาย่อมสิ้นไป
เกี่ยวกับข้อความนี้พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า “ตตฺถ โยคาติ อฎฐตฺตึสาย อารมฺมเณสุ โยนิโส มนสิกาโร” แปลว่าในที่นี้โยคะ หมายถึงการคิดคำนึงอย่างเอาใจใส่ถึงอารมณ์ ๓๘ ประการ ซึ่งเรียกว่า “กรรมฐาน”
คำว่า “โยคะ” ไม่มีความเด่นในฐานะเป็นคำเฉพาะของฝ่ายเถรวาทเพื่อหมายถึง “สมาธิ” แต่คำว่าโยคี และคำว่า”โยคาวจร” (ซึ่งหมายถึงผู้ปฏิบัติโยคะ)ใช้กันบ่อยมากใน อรรถกถาทั้งหลายในความหมายว่า”ผู้เจริญสมาธิ” คำว่า โยคาวจร มีใช้มากในวรรณกรรม ภาษาสิงหล เพื่อบ่งบอกถึงผู้เจริญสมาธิ วรรณกรรมภาษาสิงหลที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งซึ่งกล่าว ถึงอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่หนังสือ “วิทรฺศนาโปตะ คือ คู่มือวิปัสสนา” ซึ่งบัดนี้มีขึ่อว่า “คู่มือของ พระโยคาวจร” ศาสตราจารย์ ริส เดวิด บรรณาธิการ เป็นผู้ให้ชื่อนี้
ดังนั้น คำว่า โยคะ ปรากฎในเอกสารทางพระพุทธศาสนามากมาย แต่มักจะรักษา ความเด่นทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ คำว่าโยคะ ในความหมายเด่นที่ว่า “ต่อเชื่อม” มักจะพบ ในวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังหมายถึง กาม ภพ ทิฏฐิ และ อวิชชาด้วย เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมผูกพันอยู่กับ อายตนะทั้งหลาย, ความเป็นอยู่, ทิฐิและอวิชชา ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะ ต้องทำลายให้หมดขึ้นไป
๑๒ ปธานะ
คำว่า ปธานะซึ่งมาจากอุปสรรค ป+ ธา ธาตุ หมายถึงการดำรงไว้อ่ย่างมั่นคงหรือ อย่างแข็งขัน หมายถึงความชำนาญ หรือความพยายามอย่างมาก ในคัมภีร์ทั้งหลายคำนี้ หมายถึง ความพยายามที่บุคคลทำเพื่อบรรลุความเจริญทางด้านจิตใจ คำนี้ปรากฎในคัมภีร์ มัชฌิมนิกายซึ่งอ้างถึงความพยายามอันยิ่งใหญ่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำที่ตำบลอุรุเวลาเพื่อตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหนังสือพุทธวงศ์ท่านใช้คำนี้เพื่อหมายถึงสมาธิ ดังนั้น ตตฺถปปธานํ ปธหึ นิสชฺชฎฐานจงฺกเม “ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าพยายามอย่างแรงกล้าในขณะนั่ง ยืน และเดินไปๆ มาๆ”
อนึ่ง ความพยายามที่ทำเพื่อพัฒนาจิตให้สูงขึ้นได้ชื่อว่า “สัมมัปปธาน” ซึ่งท่านอธิบายว่า สำคัญต่อการฝึกสมาธิ ตามที่ปรากฎในข้อความเช่นนั้น ดูเหมือนว่าคำว่า “ปธาน” เป็นคำเฉพาะ ใช้สำหรับการฝึกสมาธิเท่านั้น และมักจะพบในความหมายนี้ในอรรถกถาทั้งหลาย บางครั้งจะปรากฎในรูปแบบของตำแหน่งหรือฐานะเช่น ปธานิกติสฺสเถร พระเถระชื่อติสสะ ผู้ฝึกสมาธิ สถานที่ซึ่งได้รับเลือกสำหรับฝึกสมาธิ (ปธาน) เรียกว่า “ปธานฆร” และที่เมือง อนุราชบุรีในประเทศศรีลังกา มีห้องปฏิบัติสมาธิเรียกว่า “ปธานฆร” อยู่ในมหาวิหาร ซึ่งเป็น ศูนย์กลางแห่งนิกายเถรวาท
๑๓ กัมมัฏฐานะ (กรรมฐาน)
คำว่า “กรรมฐาน” ซึ่งโดยปรกติแปลว่า การเจริญสมาธิ, ที่ตั้งแห่งการปฏิบัติทางศาสนา หรือ “ฐาน (ที่ตั้ง) แห่งการกระทำ นั้น เป็นคำรุ่นหลังที่พระอรรถกถาจารย์ชาวพุทธใช้กันเพื่อ บ่งบอกถึงทั้งอารมณ์แห่งกรรมฐานและวิธีปฏิบัติกรรมฐาน พระพุทธโฆษาเถระใช้คำนี้หมายถึง อารมณ์กรรมฐาน ๔๐ อย่างเพื่อบรรลุสมาธิ ซึ่งท่านได้อธิบายไว้ในหนังสือวิสุทธิมรรคของท่าน พระอนุรุทธเถระใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงอารมณ์และวิธีเจริญสมาธิและวิปัสสนาทั้งสอง ซึ่งท่าน สรุปไว้ในอภิธัมมัฎฐสังคหะ ดังนี้
สมถวิปสฺสนานํ ภาวนานมิโต ปรํ
กมฺมฎฐานํ ปวกฺขามิ ทุวิธมฺปิ ยถารหํฯ
อย่างไรก็ตาม เราจะพบคำนี้ในความหมายพิเศษนี้ในพระไตรปิฎก แต่จะปรากฎคำนี้ซึ่ง มีความหมายคล้ายคลึงกันในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ซึ่ง ณ ที่นั้นในตอนแรกท่านกล่าวอ้างถึง กรรมฐานสำหรับผู้ครองเรือน เช่นพวกกสิกรและพ่อค้า เป็นต้น และในตอนที่ ๒ กล่าวถึง กรรมฐานสำหรับผู้บรรพชาอุปสมบท ตามศัพท์ คำว่า “กมฺม” แปลว่า การงาน หรือ การ กระทำ คำว่า “ฐาน” แปลว่าที่ตั้ง, สถานที่, ฐานะ รวมกันแปลว่าสถานที่ประกอบการงาน หรือ แปลว่าแหล่งแห่งการงานในพระคัมภีร์พระไตรปิฎก คำว่า “กรรมฐาน” ใช้ในความหมายทั่วๆ ไปว่า งานหรือธุรกิจของผู้ครองเรือน ในอรรถกถาทั้งหลายท่านใช้คำนี้ กรณีที่เกี่ยวข้องกับกรรมฐานของผู้บรรพชาอุปสมบท เพื่อกำหนดอารมณ์ของกรรมฐาน และวิธีปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งถือวา เป็นการฝึกจิตที่มีระบบแบบหนึ่ง
เกี่ยวกับภาวนา โดยปกติจะบ่งถึงการฝึกสมาธิโดยยึดอารมณ์ ชนิดใดชนิดหนึ่งที่กำหนดให้ ซึ่งปฏิบัติไปด้วยจุดมุ่งหมายที่จะเจริญสมาธิ หรือวิปัสสนา ดังนั้นเราพบข้อความว่า
“กมฺมฎฐาเน กมฺมํ กโรนฺโต” = ประกอบตนเองในกรรมฐาน เป็นต้น
จากข้อความข้างบนนี้ เราจะเห็นว่า คำว่า “กรรมฐาน” เป็นคำเด่นมาก หมายความถึงการปฏิบัติและการฝึกอย่างต่อเนื่องซึ่งก่อให้เกิดพื้นฐานหรือโครงสร้างของวิธีการฝึกสมาธิทุกรูปแบบ ซึ่งโดยวิธีนี้เองบุคคลผู้ปฏิบัติย่อมบรรลุถึงความเป็นอรหันต์ ดังจะเห็นตัวอย่างดังนี้ ปฐมฌานเป็นฐานะอันหนึ่ง อสุภ ๑๐ อย่างเป็นกรรมฐาน เมื่อปฏิบัติตามอารมณ์กรรมฐาน แล้วบุคคลย่อมได้บรรลุฐานะอันนั้น
๑๔ อารมณ์
คำว่า “อารมณ์” โดยปกติจะบ่งถึงวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งใจหรือความคิดไปจดจ่ออยู่โดย ใช้อารมณ์นั้นเป็นสิ่งสนับสนุนหรือเป็นกรรมฐาน เมื่อใช้ในทางจิตวิทยาคำนี้จะบ่งถึงวัตถุธาตุที่เกี่ยวเนื่องกับความรู้สึก และความคิดที่เป็นนามธรรม ซึ่งเมื่อมีการสัมผัสกันแล้ว ย่อมก่อให้ เกิดขบวนการแห่งการรู้แจ้งขึ้น เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว คำนี้หมายถึงสิ่งภายนอกอันใดอันหนึ่ง ซึ่งอาจถูกนำเสนอต่อความรู้สึก (ประสาททั้ง ๕) ของมนุษย์ และหมายถึงความประทับใจ ซึ่งเกิด จากประสาทสัมผัสกับสิ่งภายนอกนั้น ซึ่งความหมายอันหลังนี้ให้ความสนับสนุนแก่จิตและ ทำให็จิตยึดเหนี่ยวแนวคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามหลักคำสอนในคัมภีร์พระอภิธรรม จิตจะไม่ กระตือรือร้น จนกว่าจะได้การกระตุ้นจากวัตถุภายนอกซึ่งมากระทบประสาททั้งห้า วัตถุภายนอก เหล่านี้เรียกว่า อารมณ์ ในความหมายว่า “อาฬัมพนะ” (แขวนอยู่) ซึ่งเป็นวัตถุที่ สนับสนุนหรือยึดเหนี่ยวจิต ดังนั้น อารมณ์จึงบ่งถึงทั้งวัตถุภายนอกซึ่งตา รับรู้และภาพแทน สิ่งเหล่านั้นหรือความประทับใจต่อสิ่งเหล่านั้นซึ่งเกิดขึ้นในจิต และกระตุ้นให้ขบวนการคิดทำงานเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ คำว่า “อารมณ์”ใช้ในความหมายที่จำกัดมาก เพื่อชี้บ่งถึงอารมณ์ กรรมฐานที่กำหนดให้ และนิมิตในจิตซึ่งได้มาจากอารมณ์นั้น คำว่าอารมณ์มักใช้ในอรรถกถา ทั้งหลายในความนี้ คือ
อฎฐดึสายอารมมฺเณสุ กมฺมํ กโรนฺโต
แปลว่า ผู้ประกอบการงานในอารมณ์กรรมฐาน ๓๘ ประการ
ในที่นี้เราใช้คำว่า “อารมณ์” หมายถึง “อารมณ์ของกรรมฐาน” วลีที่ว่า “อารมฺมณํ คณฺหาติ” ใช้กับคำว่า สมาธิด้วย ซึ่งหมายความว่า การได้รับ หรือการยึดแนวความคิดหรือเรื่องซึ่งผู้ปฏิบัติดึงจิตให้มาจดจออยู่กับสิ่งเหล่านี้ด้วยสมาธิที่แนวแน่จนกระทั่งได้รับแสงสว่างที่เหนือ ธรรมดา ในกรณีนี้อารมณ์หมายถึงสิ่งที่มีในจิตซึ่งควรจะได้มาจากอารมณ์กรรมฐาน และซึ่ง เรียกตาม ความหมายเฉพาะว่า “นิมิต” ได้แก่เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ ดังนั้นคำว่า อารมณ์ เมื่อใช้กับ การฝึกสมาธิโดยเฉพาะหมายถึงวัตถุสำหรับใช้ฝึกจิต
๑๕ นิมิต
โดยปกติ คำนี้ หมายถึงเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ ในคัมภีร์ต่างๆ ท่านใช้เป็นคำ เฉพาะทางจิตวิทยา หมายถึงคุณสมบัติของจิตในสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย โดยพยัญชนะ คำว่านิมิต หมายถึงเครื่องหมายหรือเครื่องแสดงทั้งหลาย และโดยทั่วไปคำนี้ใช้กับความโน้มเอียงในทาง ชั่วร้าย เช่น กาม โกรธ และอวิชชา ซึ่งถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดสภาวะทางจิตของแต่ละบุคคล คำนี้ท่านก็ใช้กับลักษณะที่ปรากฎของสิ่งหรือวัตถุต่างๆ ด้วย ซึ่งก่อให้เกิดกามตัณหาขึ้นในจิต ตัวอย่าง เช่น ในข้อความที่ว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสุวา นิมิตฺตคฺฆาหิ (แปลว่า) เมื่อเห็นรูปด้วยตา เขาจึงกำหนดรู้เครื่องหมาย หรือสิ่งที่ปรากฎทั่วไป
ในฐานะที่เป็นศัพท์ทางวิชาการที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในเรื่องสมาธิ คำว่านิมิต มีความหมายแตกต่างกันไปและท่านแยกเป็นสมถนิมิต คือเครื่องหมายแห่งความสงบ และตาม (นัย) แห่งวิสุทธิมรรคนิมิตมี ๒ อย่าง คือ อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต แต่ในคัมภีร์อภิธรรม มัฎฐสังคหะ มีความหมาย ๓ อย่าง คือ
๑ ปริกรรมนิมิต หมายถึงวัตถุที่เลือกสำหรับฝึกสมาธิ เช่น กสิณนิมิตหมายถึง เครื่องหมายที่ใช้ในการฝึกสมาธิเบื้องต้น
๒ อุคคหนิมิต หลังจากเพ่งกสิณเป็นเวลานาน ซึ่งในระหว่างนั้นตาจะจดจ่ออยู่ที่ กสิณนั้น ผู้ปฏิบัติสามารถกำหนดภาพในจิตไว้ได้ซึ่งเป็นภาพจำลองของเครื่องหมายเดิมนั้น และด้วยการปฏิบัติต่อเนื่องกัน อาจเห็นเครื่องหมายนั้นอย่างชัดเจนเหมือนเห็นเครื่องหมายนั้น ด้วยตา ภาพนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต หมายถึง เครื่องหมายที่ยึดได้ หรือภาพในจิต คำนี้หมาย รวมถึงเครื่องหมายแห่งการสนับสนุน หรือสัญลักษณ์ที่ถูกยึดไว้ ในความหมายทั่วๆ ไป คำนี้ (อุคคหะ) ใช้หมายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บุคคลเรียนศึกษา และยังใช้หมายถึงสิ่งที่บุคคลท่องจำด้วย โดยเหตุที่นิมิตนี้เป็นเครื่องหมายอันแรกแห่งความสว่างทางจิตซึ่งได้มาจากการปฏิบัติสมาธิที่ได้ผล ท่านจึงเรียกนิมิตนี้ว่า นิมิตที่ตั้งอยู่ในจิตเหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บุคคลท่องจำได้ เมื่อนิมิตนี้คงอยู่ ในจิตของผู้ปฏิบัติแล้ว เขาสามารถเห็นมันได้เมื่อไรก็ตามที่เขาปรารถนา เพื่อว่าเขาจะได้ปฏิบัติ ต่อไปอย่างเสรีโดยไม่ต้องเพ่งดูนิมิตนั้น แต่ภาพในจิตนั้นยังไม่หมดมลทินและสิ่งบกพร่อง อันเกิดจากนิมิตเดิม เช่น เครื่องหมายฟองน้ำหรือรอยขูดขีด เครื่องหมายเหล่านี้จะปรากฎใน
ภาพนั้นเป็นเหมือนควันหรือเมฆในท้องฟ้า ลักษณะของภาพจะแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของ วัตถุ การรวมความคิดซึ่งได้มาโดยอาศัยนิมิตทั้ง ๒ นี้ (คือนิมิตเบื้องต้นและภาพในจิต) เรียกว่า ปริกรรมสมาธิ คือการรวมจิตเบื้องต้น และปริกรรมสมาธินี้จะบรรลุได้ด้วยอารมณ์ กรรมฐานทุกประเภท
๓ ปฏิภาคนิมิต
หลังจากการฝึกสมาธิติดต่อกันไป ผู้ปฏิบัติจะพบว่า พลังแห่งการรวมความคิดของเขา ได้แก่กล้าขึ้น และภาพในจิตได้ก่อให้เกิดความคิดหรือความเข้าใจที่เป็นนามธรรมขึ้น ความคิด ประเภทนี้จะปลดเปลื้องความจริงตามที่ปรากฎเสียได้ และเป็นความคิดที่ปราศจากความผิดพลาดทุกอย่างที่มีในวัตถุเดิมและกลายเป็นภาพทบริสุทธิ์ ซึ่งยังมีคุณสมบัติของวัตถุนั้นๆ อยู่ ความเข้าใจซึ่งจะไม่ปรากฎแก่จิตในฐานะเป็นวัตถุที่มีตัวมีตนต่อไปอีกแล้วนี้ ท่านให้ชื่อว่า ปฏิภาคนิมิต คือเครื่องหมายที่เหมือนกัน และท่านให้ความหมายว่าภาพที่ยังติดตาอยู่
นิมิตดังกล่าวนี้ปรากฎเฉพาะเมื่อจิตพัฒนาไปถึงสมาธิขั้นหนึ่ง เรียกว่าอุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่พอจะเข้าถึงได้ ซึ่งลุ่มลึกว่าสมาธิขั้นพื้นฐาน และใกล้เข้าไปยังขั้นของฌาน แต่คัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวว่าภาพติดตาเกิดขึ้นจากภาพในจิตซึ่งเกิดขึ้นจากสมาธิที่บรรลุเพราะการเพ่งกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อานาปานสติ และกายคตาสติเท่านั้นและว่าภาพติดตานั้นประณีตและ บริสุทธิ์กว่าภาพในจิต ซึ่งเกิดขึ้นเหมือนกระจกเงาที่บุคคลดึงออกจากกรอบของมันหรือเหมือนกับพระจันทร์ที่โผล่ขึ้นจากเบื้องหลังเมฆ คำว่า “ปฏิภาค” ตามศัพท์แปลว่า “เท่ากัน” “เหมือนกัน” หรือ “คล้ายคลึงกัน” และ คำนี้ใช้กับ คำว่า “ภาพติดตา” ในความหมาย ที่ว่า คำนี้ทำหน้าที่แทนความคิดซึ่งเกิดในวัตถุดั้งเดิมซึ่งได้แก่ความคิดที่เป็นนามธรรม สมาธิ ซึ่งเกิดเมื่อจิตจดจ่ออยู่กับภาพนี้ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ ได้แก่สมาธิที่มีระดับสูงขึ้น หรือสมาธิ ที่นำไปสู่ขั้นของฌาน ซึ่งเกิดเพราะความบริสุทธิ์แห่งจิต
ดังนั้น นิมิตทั้ง ๓ นี้ (บริกรรม, อุคคหะ,ปฏิภาค) จึงเป็นอารมณ์ของ ปริกรรมสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ ซึ่งบรรลุด้วยการเจริญสมาธิ
คำเหล่านี้เป็นคำสำคัญซึ่งควรศึกษาเป็นพิเศษในเรื่องการเจริญสมาธิ แต่อย่างไรก็ตามยังมีคำเฉพาะอื่น ๆอีกจำนวนมากซึ่งได้แสดงผลแห่งสมาธิ การบรรลุสมาธิและขั้นต่างๆ ของสมาธิ เช่นคำว่า อภิญญา ความรู้ที่สูงยิ่ง, สมาบัติ = การบรรลุ, วิโมกข์ = การหลุดพ้น, อภิภายตนะ = อารมณ์ที่ครอบงำ เป็นต้น คำเหล่านี้จะกล่าวในโอกาสต่อไป
ควรสังเกตว่า เพื่อความกระจ่างแจ้ง เราจะใช้คำภาษาบาลี พร้อมกับคำแปลภาษาอังกฤษ เท่าที่จำเป็น
สารบัญ
No comments:
Post a Comment