Tuesday, July 19, 2016

บทที่ ๔ ฌานและสมาธิ

บทที่ ๔

ฌานและสมาธิ

โดยเหตุที่คำเฉพาะแต่ละคำที่ใช้ในระบบการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา สามารถนำ ไปใช้กับงานด้านการฝึกจิตทุกประเภท ดังนั้น ข้อความที่รวมระบบทั้งหมดไว้ด้วยกันจะรวมอยู่ ในคำว่า “ฌาน” และ “สมาธิ” คำเหล่านี้  ซึ่งใช้ในคัมภีร์ภาษาบาลีมักจะเป็นคำที่ไม่ชัดเจนต้องการ คำขยายความจึงเป็นการสมควรที่จะสำรวจคำเหล่านี้เพิ่มเติมในที่นี้ซึ่งจะรวมถึงการตีความตามแนวพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้ง ๒ ประเภทด้วย

๑. ฌาน
คำว่า “ฌาน” ซึ่งตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “ธฺยาน” มีความหมายกว้างกว่าคำ “ธฺยาน” คำนี้หมายถึงการเพ่งนิมิตหรือการคิด และตามที่ใช้ในพระพุทธศาส-นา ไม่ได้หมายถึง เฉพาะระบบที่กว้างขวางในการพัฒนาจิตเท่านั้น  แต่ยังหมาย-ถึงขบวนการเปลี่ยนวิญญาณจาก ระดับต่ำไปสู่ระดับสูงคือจากรูปโลกผ่านอรูปโลกไปสู่จุดสูงสุดของการฝึกจิตในพระพุทธศาสนาด้วย
ตามที่ใช้ในพระคัมภีร์ต่างๆ และตามคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย คำว่าฌาน มีความหมาย ๒ อย่าง
อย่างที่หนึ่ง หมายถึงการเพ่งพินิจวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือการตรวจดูอย่างใกล้ชิดซึ่งลักษณะต่างๆ ของสิ่งที่ปรากฎอย่างที่สองหมายถึงการกำจัดนิวรณ์ทั้งหลาย หรือมโนธาตุระดับต่ำซึ่งเป็นอันตรายต่อการก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ในความหมายประการที่สอง พระอรรถกถาจารย์นำมาโยงเข้ากับคำกริยา “ฌาเปติ” แปลว่า “เผาไหม้” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้คำว่า “ฌาน” และธฺยาน โดยทั่วไปก็เป็นที่ยอมรับกันมากกว่าในความหมายอันแรก คือ สมาธิ และทั้ง ฌานและธฺยาน ก็ใช้แสดงถึงระบบแห่งสมาธิ
ตามที่ได้ทราบมาแล้ว สูตรที่ให้ใว้ในนิกายทั้งหลาย เช่นในสามัญญผลสูตรเป็นต้น กล่าวยืนยันถึงองค์ฌาน ๕ อย่าง คือ วิตก,วิจารณ์,ปิติ,สุข, เอกัคคตา ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการกำจัดนิวรณ์ทั้ง ๕ ออกไป จึงควรสังเกตว่า ถ้าไม่มีองค์ฌานทั้ง ๕ นี้แล้วจะไม่มีฌานเกิดขึ้นเลย องค์ฌานเหล่านี้ยกระดับวิญญาณจากสภาพที่ประสบทางอายตนะตามปกติไปสู่รูปแบบของ ความบริสุทธิ์ซึ่งสูงกว่าเดิมและวิญญาณที่เกี่ยวกับองค์ฌานทั้ง ๕ เหล่านี้ เรียกว่า “ฌาน” เพราะธรรมชาติภายในขององค์ฌานเหล่านี้
ในภาวะธรรมดาของจิต องค์คุณภายในเหล่านี้ ในบางโอกาสอาจปรากฎเป็นธาตุแท้ของขบวนการทางจิตวิทยา แต่องค์คุณเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นสภาพของความรู้สึกทางอารมณ์ที่ซับซ้อน  ดังนั้นจึงไม่สอดคล้องกับฌานซึ่งจะบรรลุได้โดยการขจัดความปรารถนาทางประสาทสัมผัส (กามฉันทะ) และความคิดร้าย (พยาบาท)
จิตที่ปรารถนาสิงยั่วเย้าทางประสาทสัมผัส ย่อมไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอารมณ์ ตามธรรมชาติที่ดีได้และไม่ก้าวไปสู่หนทางแห่งความเจริญซึ่งจะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากความรู้สึกพอใจในประสาทสัมผัสทั้งหลาย และ จิตที่ถูกพยาบาทครอบงำ ก็ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าไปสู่ความมีจิตมีอารมณ์เดียวได้ จิตที่มีความห่ดหู่ และความเซื่องซึม ย่อมไม่เหมาะสมกับงานด้านพัฒนาจิตที่เข้มข้น เพราะถูกความกังวล ความเดือดร้อน ความรำคาญ และความเร่าร้อนครอบงำ จิตย่อมไม่หยุดนิ่ง แต่จะฟุ้งซ่านไป เพราะถูกความสับสนและความสงสัยกลุ้มรุม จิตย่อมไม่ดำเนินไปสู่ทางแห่งการบรรลุฌาน ดังนั้น กามฉันทะคือความพอใจใน สิ่งที่ตนรัก พยาบาท คือความคิดร้าย , ถินมิทธะคือความหดหู่ อุทธจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่าน และร้อนใจ , วิจิกิจฉา คือ ความสงสัย ทั้งหมดนี้จัดว่าเป็นข้าศึกของฌาน  ดังนั้นท่านจึงเรียก ว่านิวรณ์ ได้แก่ ธรรมชาติที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความเจริญ นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ จะต้องถูกขจัดให้หมดสิ้นไปด้วยการเจริญสมาธิอย่างมีระบบ ดังข้อความต่อไปนี้ว่า “เมื่อขจัดเสียซึ่งความโลภใน โลกียวัตถุทั้งหลายแล้ว พระโยคาวจรย่อมดำรงชีวิตอยู่ด้วยจิตอันปราศจากความโลภ เป็นต้น”
ในบรรดาองค์ฌาน ทั้ง ๕ เหล่านี้ วิตกซึ่งในคัมภีร์วิภังค์ท่านหมายถึงสัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ ในที่นี้ หมายถึงการคิดที่ถูกต้องซึ่งกำจัดเสียซึ่งความหดหู่และความเซื่องซึมและหมายถึงการใช้จิตและเจตสิกกับอารมณ์ของสมาธิ 
วิจาร ซึ่งหมายถึงการกำหนดจิต ที่แน่วแน่ในวัตถุสิ่งเดียวเพื่อการตรวจสอบนั้นย่อม ช่วยให้จิตได้รับการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา และดังนั้นจึงขจัดความสงสัยเสียได้
ปิติซึ่งเกิดขึ้นเพื่อเป็นปรปักษ์กับพยาบาทนั้นย่อมช่วยให้เกิดความสนใจในวัตถุ(อารมณ์) นั้นมากขึ้น ในพระอรรถกถา ท่านแยกประเภทของปิติออกไปเป็น ๕ ประเภทย่อยดังนี้
๑    ขุททกาปิติ ได้แก่ความยินดีที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยพอขนชูชัน น้ำตาไหล
๒    ขณิกาปิติ ได้แก่ความยินดีที่เกิดขึ้นชั่วขณะทำให้รู้สึกแปลบเป็นขณะๆดุจฟ้าแลบ
๓    โอกันติกาปิติ ได้แก่ความยินดีที่ทำให้เอิบอิ่มใจเป็นพักๆ รู้สึกซู่ซ่าลงมาในกายดุจคลื่นซัดฝัง 
๔    อุเพงคาปิติได้แก่ความยินดีที่ทำให้รู้สึกโลดลอยแสดงอาการบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เปล่งอุทานออกมา เป็นต้น
๕    ผรณาปิติ ได้แก่ความยินดีที่ทำให้รู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ปิติตัวสุดท้ายเป็น ปิติที่ท่านหมายถึงในองค์ฌาน เป็นปิติที่มีความสัมพันธ์กับสมาธิที่แก่กล้า
สุข คือความเพลิดเพลิน สงบ และสบายใจ ซึ่งเป็นผลมาจากปิติอันซาบซ่านข้างบนนี้ สุขย่อมขจัดความเดือดร้อน ความกังวลใจและความตกใจ และย่อมนำจิตไปสู่สมาธิดังประโยคที่ว่า จิตฺตํ สมาธิยติ แปลว่า “จิตของผู้มีความสุขย่อมมีสมาธิ”
ในที่สุด สมาธิที่แก่กล้ายิ่งขึ้นด้วยองค์แห่งฌาน ๔ ข้อแรก นั้นย่อมก่อให้-เกิดความเป็น หนึ่งเดียวในจิต ซึ่งเป็นจิตที่ปราศจากความปรารถนาทางกามคุณ
๒. ฌาน ๔
เมื่อองค์ฌานทั้ง ๕  อย่างเกิดขึ้นในจิต และขจัดเสียซึ่งนิวรณ์ทั้ง ๕ แล้วพระโยคาวจร ย่อมได้บรรลุปฐมฌาน ฌานขั้นนี้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวิญญาณจากวัตถุทางประสาทสัมผัส ท่าน กล่าวว่าเป็นการหลีกออกจากความปรารถนาทางกามนี้เป็นการหลีกจากวัตถุทางประสาทสัมผัส นี้เป็นทางออก กล่าวกันว่า พระพุทธเจ้าทรงบรรลุปฐมฌานนี้ในสมัยที่พระองค์ยังทรง พระเยาว์ และปฐมฌานนี้เป็นหนทางนำพระองค์ไปสู่การตรัสรู้ เมื่อบรรลุปฐมฌานครั้งแรกวิญญาณจะผ่านสิ่งกระตุ้นหรืออารมณ์ขั้นต่ำทั้งหมดซึ่งเกิดมาจากสิ่งกระทบภายนอก และเป็นปฏิปักษ ต่อความทยานอยากในสิ่งต่างๆ ทางประสาทสัมผัส จิตเป็นธรรมชาติที่ควบคุมตนเองได้ เพราะจิตถูกกำหนดไว้ในสภาพตามความเป็นจริงในภายในของมันเอง และไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัส ผู้ได้ฌานย่อมได้ประสบชีวิตใหม่และทัศนะใหม่ และได้รับผลอันล้ำค่าจากความพยามยามของตน ซึ่งไม่เหมือนกับสิ่งใดๆ ที่ตนเคยได้ประสบมาก่อน ร่างกายทุก ส่วนของผู้ได้ฌานจะเต็มเปี่ยมซาบซ่านไปด้วยปิติและสุขซึ่งไม่สามารถจะอธิบายได้ในพระคัมภีร์ ทีฆนิกายท่านกล่าวไว้ว่า “ไม่มีอะไรในร่างกายของท่านที่จะไม่สัมผัสกับปิติและสุขซึ่งเกิดจาก ความสงบในภายในตน”
นี้เป็นการบรรลุครั้งแรกในการเจริญสมาธิภาวนาซึ่งเป็นพื้นฐานนำไปสู่ฌานขั้นอื่นๆ ดังนั้น ฌานนี้จึงมีชื่อว่า “ปฐมฌาน” องค์ประกอบ ๕ อย่าง ซึ่งสร้างขบวนการแห่งความคิดใน สิ่งต่างๆ และเผาผลาญสู่ภาวะอันมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เรียกว่า “องค์ฌาน” คือส่วน ประกอบของฌาน วิญญาณซึ่งเกี่ยวกับองค์ฌานเหล่านี้เป็นวิญญาณที่มีศีลของผู้ที่อยู่ในโลก (รูปาวจร) ที่เรียกเช่นนี้เพราะว่า ผู้ได้ฌานนั้นเมื่อบรรลุวิญญาณขั้นนี้แล้วจะเกิดใหม่ในรูปาวจร ภูมิที่สอดคล้องกัน คือ พรหมโลก ซึ่งไม่มีวัตถุที่จะสัมผัสทางประสาทอันก่อให้เกิดความรักใคร่ (กามะ)
ในตอนนี้ควรสังเกตว่า ในบรรดาองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ เอกัคคตาไม่ปรากฎในสูตรที่ให้ไว้ ในนิกายทั้งหลาย แต่ข้อที่ว่าเอกัคคตาเป็นองค์ฌานได้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อพระสารีบุตรเถระ และพระมหาโกฎฐิตเถระได้สนทนากัน ซึ่งท่านกล่าวว่า ฌานที่ ๑ มีองค์ฌาน ๕ ประการและประการสุดท้ายได้แก่เอกัคคตา และมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิภังค์วา  ฌานได้แก่ วิตก วิจาร ปิติ สุข และจิตตัสเสกัคคตา พระพุทธโฆษาจารย์เมื่ออธิบายเรื่องนี้กล่าวว่า “ไม่ว่าพระประสงค์ ของพระพุทธเจ้าในการสรุป(เรื่องในพระสูตร) จะเป็นอย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ใน คัมภีร์วิภังค์เช่นนี้”
๓. ฌานชั้นสูง
การขจัดองค์แห่งปฐมฌานอย่างมีระบบก่อให้เกิดฌานที่สูงขึ้น และแรงกล้าขึ้นใน แต่ละขั้น ผู้บำเพ็ญฌานซึ่งเพิ่งจะบรรลุปฐมฌานโดยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ย่อมรวบรวม ความสนใจไว้กับสัญลักษณ์ทางจิตที่เหมือนกับที่ได้รับจากกสิณ หรือกับอารมณ์กรรมฐาน อย่างอื่นที่ให้ใว้และปฏิบัติซํ้าๆ เพื่อจะให้เป็นปกตินิสัยในขบวนการทางจิตวิทยา การปฏิบัติ เช่นนี้เรียกว่า “วสิดา” และมี ๕ ชนิด คือ อาวัชชนา (การหวนระลึก) สมาปัชชนา (การเข้าไป) อธิฎฐานะ (การตั้งมั่น) วุฎฐานะ (การขึ้น) และปัจจเวกขณา (การพิจารณา) ในการปฏิบัติวิธี เสริมเพื่อฝึกฌานด้วยวิธี ๕ อย่างนี้ พระโยคาวจรย่อมสามารถรำพึงถึงปฐมฌานซึ่งพึ่งจะได้ บรรลุ หรือรำพึงถึงองค์ฌานองค์หนึ่งในบรรดาองค์ฌานทั้ง ๕ นั้นทุกสถานที่ และทุกเวลาที่ท่านพอใจ หรือตลอดเวลาที่ท่านพอใจ โดยปราศจากความเกียจคร้าน เมื่อสามารถส่งจิตไปจดจ่ออยู่ กันองค์ฌานทั้ง ๕ ในทันทีทันใด ก็จะมีความชำนาญในการรำพึง ในทำนองเดียวกัน จะมีความสามารถในการเข้าฌาน อยู่ในฌานนานตามปรารถนา ออกจากฌานเมื่อปรารถนา และทบทวนฌานตลอดถึงหวนระลึกถึงฌานเมื่อปรารถนาจะระลึกถึง
ผู้ที่มีความชำนาญในวิธีทั้งห้านี้จะออกจากปฐมฌานหลังจากปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงความอ่อนกำลังในฌานนั้นดังนี้ “ฌานนี้มีวิตกและวิจารซึ่งมีข้าศึกที่ใกล้ชิดในนิวรณ์ทั้งหลาย ไม่ใช่ความสงบโดยสิ้นเชิง เพราะยังมีกระแสแห่งความคิตติดพันอยู่” เขาเห็นว่า ถ้าไม่มีวิตกและวิจารแล้วจะมีความสงบมากขึ้น และแล้วในขณะที่สลัดปฐมฌานนั้น เขาก็พยายามเพื่อบรรลุทุติยฌาน โดยการหลีกหนีวิตกและวิจาร ในขณะฝึกสมาธิอยู่นั้นใจของเขาจะมีปิติมีความสุขและมีความเป็นหนึ่ง  ซึ่งก่อให้เกิดฌานที่สองขึ้นเรียกว่า ทุติยฌาน ฌานนี้ เกิดมาจากสมาธิ ความสงบ และการพัฒนาจิตให้มีระดับสูงขึ้น ดังนั้นการขจัดวิตกและวิจารไป พร้อมๆ กับย่อมก่อให้เกิดทุติยฌานขึ้น ซึ่งเกิดจาก “เอโกทิภาวะ” คือความมีธรรมชาติสูงสุด แม้ว่าปฐมฌานจะเกี่ยวข้องกับการรวมความคิดก็ตามแต่ทุติยฌานนี้เท่านั้นที่ควรเรียกว่า “สมาธิ” เพราะฌานนี้เกิดมาจากสมาธิและความเป็นอิสระจากสิ่งรบกวนทั้งหลาย ทุติยฌานนี้ไม่หวั่นไหว เพราะเป็นฌานที่มั่นคง
เมื่อบรรลุทุติยฌานแล้ว พระโยคาวจรจะต้องอบรมตนอย่างดีในวสี คือความชำนาญ ๕ อย่างตามที่กล่าวมาแล้ว และขณะที่จะออกจากฌานที่สอง เมื่อปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ย่อมเข้าใจโทษที่มีอยู่ในฌานที่ ๒ นั้น ว่าดังนี้ “ฌานนี้มีข้าศึกที่ใกล้ตัวคือวิตกและวิจาร ฌานนี้จะอ่อนพลังลงเพราะอารมณ์ที่ยินดี (ปิติ) ซึ่งเป็นสภาพของจิตที่มีความกระวนกระวาย” แล้วก็พยายามเพื่อบรรลุตติยฌาน คือฌานที่ ๓ เพราะมีความสงบ และหยุดคิดถึงทุติยฌาน เมื่อฝึกสมาธิต่อไปเช่นที่ทำมา แล้ว ฌานที่ ๓ ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งจะละปิติเสียได้ แต่ยังมีความสุขและความเป็นหนึ่งของจิต (เอกัคคตา) อยู่ พระโยคาวจรอยู่ในฌานนั้นด้วยความสงบและสติ  และรักษาขบวนการคิดไว้ในสภาพที่มีดุลยภาพนี้เป็นสภาพที่มีความสุขสดชื่นที่สุด เพราะจะไม่มีสิ่งรบกวนเลยแม้แต่น้อย ไม่มีความสุขใดซึ่งเกิดในความรู้สึกของสังขารจะยิ่งใหญ่กว่า ความสุขนี้  ผู้ที่ได้บรรลุฌานระดับนี้ท่านกล่าวว่าเป็นผู้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข แต่เนื่องจาก มีสติและสัมปชัญญะ จึงไม่มีความปรารถนาความสุขนี้ ทั้งไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในจิตของ พระโยคาวจร
เมื่อคุ้นอยู่กับตติยฌานแล้ว พระโยคาวจรย่อมเข้าใจว่า และฌานขั้นนี้ก็มีข้อบกพร่อง เพราะมีข้าศึกที่ใกล้ตัวอยู่ในปิติ และเนื่องจากเป็นความสุขที่ไม่ละเอียดประณีต จึงยังเป็นฌาน ที่ไม่มั่นคง ในขณะที่ละทิ้งความปรารถนาในฌานที่ ๓ นี้ ย่อมพยายามเพื่อบรรลุฌานที่ ๔ เพราะความสงบเย็นของฌานนี้ แต่จิตยังคงจดจ่ออยู่กับวัตถุสิ่งเดียวสืบต่อมา  (นั่นก็คือ ภาพในจิตซึ่งมาจากวัตถุสิ่งหนึ่ง เช่นวัตถุสำหรับเพ่ง กสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นต้น) เพื่อขจัด เสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบและบรรลุบรมสันติ และแล้วฌานที่ ๔ ก็จะเกิดขึ้น โดยมีความรู้สึกวาง เฉยเกี่ยวกับร่างกายและจิตของตน และมีสติบริสุทธิ์อันเกิดจากความสงบใจ ในฌานที่ ๔ นี้จะ เกิดมี เจโตวิมุตติ คือจิตหลุดพ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เป็นอุเบกขา คือความวางเฉย ในขั้นนี้พระโยคาวจรจะไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกายและทางใจ ในขณะนี้ย่อมรู้สึกวางเฉย ห่างจาก ความกำหนัดและความโกรธ เพราะทำลายมูลเหตุของมันคือความรู้สึกว่าต่างกันระหว่างสิ่งที่ น่าเพลิดเพลิน และสิ่งที่ไม่น่าเพลิดเพลินได้แล้ว
ในฌานระดับ ๔ นี้ วิญญาณย่อมมีความสัมพันธ์กับสติที่สมบูรณ์และการวางเฉยที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในโลกแห่งประสาทสัมผัส และในฌานขั้นต่ำทั้งสาม กิจกรรมของจิตที่ต่ำกว่านี้จะถูกควบคุมอย่างเต็มที่ และกระแสจิตที่ไหลไปสู่ประสาทสัมผัส ทั้งหลายจะได้รับการตรวจสอบ แต่ผู้บำเพ็ญฌานผู้มีความรู้แจ้งถึงขั้นนี้จะไม่อยู่ในสภาพแห่ง การสะกดจิต หรือในระดับแห่งภวังคจิต ซึ่งสร้างขึ้นโดยข้อเสนอของตนเอง หรือในสภาพแห่ง การสลบ ในทางที่ตรงกันข้าม พระโยคาวจรจะรู้และระลึกถึงอารมณ์ ซึ่งจิตของตนจดจ่ออยู่ โดยไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ ตัดขาดซึ่งกิจกรรมทุกประเภททั้งกิจกรรมทางกายและทางจิต ตามที่ ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์สังยุตตนิกายว่า “ในภาวะของปฐมฌาน ผู้เข้าฌานจะไม่พูด เพราะว่าความเงียบสงบในภายในจะปรากฎขึ้นหลังจากนิวรณ์ทั้ง ๕ หมดสิ้นแล้ว ในทุติยฌาน ผู้เข้า ฌานทำลายวิตกและวิจารเสียได้ซึ่งเรียกว่า “วจีสังขาร” หรือ “ความสามารถในการกล่าวคำพูด” ในตติยฌาน ผู้เข้าฌานจะตัดปิติออกไปเสียได้ และในจตุตถฌาน ผู้เข้าฌานจะไม่มีลม หายใจเข้าและลมหายใจออก ซึ่งเรียกว่า “กายสังขาร” หรือ “การปรากฎแห่งการเคลื่อนไหว” ซึ่งเป็นกระแสคลื่นอันสำคัญของร่างกาย ดังนั้น ด้วยสภาพที่สงบนิ่งของร่างกายและจิต ผู้เข้าฌานดำรงชีวิตอยู่อย่างเข้าใจสภาวธรรมในตนเอง
ความพอใจซึ่งมีอยู่ในฌานวิญญาณที่สี่ซึ่งถูกควบคุมด้วยสติที่หมดจดและชัดแจ้ง ซึ่งเป็นผลอันเกิดมาจากอุเบกขาที่สมบูรณ์นั้น ก่อให้เกิดอัชฌัตติกญาณ หรือความรู้ตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง  ดังนั้นจตุตถฌานจึงมีชื่อเรียกว่า “ปาทกะ” คือ “ฌานพื้นฐาน” เพราะในฌานขั้นนี้ ผู้เข้าฌานสมควรที่จะเป็นผู้วิเศษ (มีตาทิพย์) และมีหูทิพย์และบรรลุสิ่งเหนือวิสัยธรรมดาทุกๆ อย่าง และฌานนี้จะนำไปสู่จุดที่กิเลสและอาสวะทั้งหลายหมดไป การบรรลุทั้ง ๔ ขั้นนี้ ซึ่งมี ส่วนเกี่ยวข้องกับการขจัดปัจจัยที่ทำจิตให้อ่อนพลัง และเกี่ยวกับการก้าวจากสภาพที่ต่ำไปสู่สภาพที่สูงขึ้นตามลำดับนี้ พึงเข้าใจว่ามีความหมายครอบคลุมถึงคำว่า “ฌาน”โดยแท้
     ๔  ระบบฌาน ๕
ในพระคัมภีร์อภิธรรม เราจะพบฌาน ๕ ประเภท หรือเป็นการเพิ่มเข้ามาต่อจากฌาน ๔ ในระบบนี้การขจัดวิตก และวิจารเกิดขึ้นต่อเนิ่องกัน แทนที่จะขจัดไปทันทีทั้งสองอย่าง ในระบบ ที่มีฌาน ๔ นั้น ผู้บำเพ็ญฌานบรรลุฌานที่ ๒ โดยการขจัดวิตก และวิจารเสียได้ ดังนั้นจึงยังคง มีองค์ฌานอีก ๓ อย่าง แต่ในระบบฌาน ๕ นั้น การขจัดวิตกเสียได้อย่างเดียวก็ได้บรรลุฌานที่ ๒ จึงยังคงมีองค์ฌานอีก ๔ อย่าง และเมื่อขจัดวิจารเสียได้ก็ได้บรรลุฌานที่ ๓ นี่คือความแตกต่างระหว่างระบบฌาน ๔ และระบบฌาน ๕
ตามพระคัมภีร์อรรถกถา เรื่องนี้เป็นคำสอนที่เลือกได้ ซึ่งแตกต่างกันตามอารมณ์ทางจิตของพระสาวกแต่ละบุคคล สำหรับบางคนในขณะที่ทบทวนฌานที่ ๓ อยู่นั้น วิตกซึ่งเป็นองค์ ฌานที่หนึ่งอย่างหยาบย่อมปรากฎขึ้น แต่องค์ฌานที่เหลือ ๔ อย่าง มีลักษณะสงบ สำหรับ บุคคลเช่นนี้พระพุทธองค์ทรงกำหนดฌานที่ ๒ ด้วยองค์ฌาน ๔ คือ วิจาร ปิติ สุข และเอกัคคตา แต่ไม่มีวิตก
อนึ่งในพระสูตรพระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายสมาธิ ๓ อย่างไว้ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิมี ๓  อย่าง คือ
๑ สมาธิซึ่งมีวิตกและวิจาร 
๒ สมาธิซึ่งมีวิตกแต่ไม่มีวิจาร
๓ สมาธิซึ่งไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ในบรรดาสมาธิเหล่านี้ สมาธิประเภทที่ ๑ และที่ ๓ พระองค์ตรัสไว้ในระบบฌาน ๔ และสมาธิประเภทที่ ๒ ไม่ได้ตรัสไว้ในระบบฌาน ๔ จึงควรเข้าใจว่าระบบฌาน ๕ ทรงกำหนดไว้เพื่อแสดงสมาธิที่มีวิจาร แต่ไม่มีวิตก และสมาธิซึ่งรวมเข้ากับวิธีปฏิบัติใน อรูปฌาน
การขยายความออกไปในคัมภีร์พระอภิธรรม ทำให้ได้ฌานวิญญาณ ๕ อย่าง และดังนั้น เมื่อรวมกับวิบากและกิริยา เราจึงได้จำนวนวิญญาณ ๑๕ ในรูปภูมิ และ ๔๙ ในโลกุตรภูมิ ทั้งนี้เมื่อรวมกับมรรค ๔ ผล ๔ ตามที่ท่านแสดงไว้ในพระคัมภีร์อภิธรรมัตถสังคหะ
ก้าวต่อไป เราจะพบระบบการบรรลุอรูปฌาน ๔ แห่งวิญญาณซึ่งเป็นที่รู้จักกัน ทั่วไปว่า ฌาน ดังนั้น อุปกรณ์ของฌานจึงขยายออกไปเป็น ๘ อย่าง ซึ่งจะได้ทราบในบทต่อไป
๑  สมาธิ
ตามที่ได้ทราบแล้ว ท่านให้คำจำกัดความของคำ “สมาธิ” ว่า จิตตัสสะ เอกัคคตา ความเป็นหนึ่งของจิต และนี้เป็นคำจำกัดความที่ให้ไว้ในนิกายต่างๆ
ในคัมภีร์พระอภิธรรม คำจำกัดความนี้ประณีตยิ่งขึ้น และท่านอธิบายว่า สมาธิเป็น องค์ประกอบของจิตที่เป็นใหญ่ในขบวนการขจัดความลุ่มหลงในผัสสะออกไปเสียจากจิต ซึ่งรูป แบบที่สร้างขึ้นและพัฒนาขึ้นท่านได้ให้คำจำกัดความว่า “สมาธิ” นั่นก็คือสมาธิซึ่งเกิดขึ้นใน วิญญาณชนิดที่สูงขึ้น
ตามคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ สมาธิมี ๒ อย่าง ตามลักษณะทั่วๆ ไป คือ
๑ การรวมจิตที่บริสุทธิ์และชำนาญ
๒การรวมจิตซึ่งเปลี่ยนสภาวะเข้าไปอยู่ในฌาน
สมาธิประเภทแรกหมายถึงการมีจุดรวม ซึ่งหมายถึง การควบคุมกระบวนการของ จิตใจไว้ในความคิดอันเดียวซึ่งจะต้องมีธรรมชาติที่เหมาะควรเสมอ ส่วนสมาธิประเภทที่สองบ่งชี้ ถึงสภาวะที่เหนือธรรมดาของ จิตดวงเดิมนั้นเอง ซึ่งผ่านจากสภาวะของฌานตามธรรมดาไปแล้ว และสมาธิประเภทที่สองนี้เองเป็นสมาธิที่ต้องประสงค์อย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา
ในการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ซึ่งพบในคัมภีร์พระอภิธรรม มีมโนธาตุอันหนึ่งเกิดขึ้น เรียกว่า เอกัคคตา คือ “ความเป็นหนึ่ง” หรือ “การรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในจิต” ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปแก่ สภาวะของจิตที่อยู่ในอำนาจแห่งความนึกคิดไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็ตาม ตามหลักแห่ง จิตวิทยา เมื่อคำนึงถึงข้อความนี้ พระพุทธโฆษาจารย์จึงเพื่มคำว่า “กุสล” เข้ากับคำว่า “จิตเตกัคคตา” ซึ่งกล่าวไว้ในระบบแห่งสมาธิ เพื่อความพิถีพิถันในการแปลความและการให้คำจำกัดความของ คำว่า “สมาธิ” ดังนั้น จึงกล่าวได้อย่างถูกต้องว่า สมาธิไม่เกิดขึ้นระหว่าง ขบวนการแห่งการรับอารมณ์ หรือเมื่อเกี่ยวข้องกับความคิดที่ชั่วร้าย แต่ธรรมชาติแห่ง “เอกัคคตา” เป็นธรรมชาติที่มีในความคิดทั้งที่ดีและที่ชั่วร้าย ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลายจึงใช้ คำว่าสมาธิในความหมาย ที่ว่าความเป็นหนึ่งแห่งจิต ซึ่งจะได้รับจากการคิดอย่างฉลาด หรือ การมีโยนิโสมนสิการ (การพิจารณาไตร่ตรองอย่างแยบคาย) เป็นการรู้ทันวัตถุสิ่งหนึ่งและสิ่งเดียวเท่านั้น และสิ่งนั้นมีธรรมชาติโดดเดี่ยว ในระบบการฝึกจิตในพระพุทธศาสนา สมาธิดังกล่าวนี้จะบรรลุได้โดยการปฏิบัติกรรมฐาน โดยยึดวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ท่านกำหนดไว้เป็นอารมณ์ ในแง่จิตวิทยาทางพระพุทธศาสนา ท่านถือว่าสมาธิเป็นปัจจัยที่ใช้ได้ และเหมาะสม ที่สุดสำหรับจิตที่พัฒนาแล้ว โดยอาศัยหลักทางพระพุทธศาสนา เพราะสมาธินี้จะรวมไว้ซึ่งศีลธรรม ความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ความกรุณาและอื่นๆ และมีส่วนสัมพันธ์กับหลักจิตวิทยา เพื่อการตรัสรู้  ดังนั้นสมาธิจึงมีลักษณะตรงกันข้ามกับสภาพจิตที่เซื่องซึมและอยู่เฉยๆ  ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูต่อการพัฒนาตนเองจิตจะเหมาะสมและพร้อมที่จะทำงานเพื่อได้รับความรู้และพลังจิต ที่สูงขึ้นก็โดยอาศัยพลังแห่งสมาธินี้เอง และดังนั้นการอบรมสมาธิจึงเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การบรรลุความสุขทางจิต และความรู้ที่สมบูรณ์
สมาธิหมายถึงการทำจิตให้แน่วแน่ในความหมายที่ว่า “ใส่ไว้ด้วยกัน” หรือ “วางไว้” (จากคำว่า สํ (พร้อม) อา (ทั่วถึง) ธาน (วางไว้) นั่นก็คือ “การกำหนดจิต หรือตั้งจิตและความคิดไว้ในวัตถุสิ่งเดียว”  ดังนั้นสมาธิควรหมายถึงสภาพของจิตซึ่งจิตและความคิดได้รับการตั้งไว้อย่างดี และมีศูนย์กลางอยู่ที่วัตถุสิ่งเดียวโดยไม่มีความหวั่นไหวและความท้อแท้”
๒  ลักษณะ ความสำคัญ ปรากฎการณ์และบ่อเกิดแห่งสมาธิ
ลักษณะของสมาธิ ซึ่งเป็นที่มาของคุณธรรม ได้แก่ ความไม่วอกแวก สมาธิทำหน้าที่ ควบคุมสิ่งรบกวน หรือสิ่งกระตุ้นทางอายตนะทั้งหลาย และขจัดความวอกแวกออกไปจากจิต ตามหน้าที่หรือสาระของสมาธิ สมาธิคือพลังซึ่งทำลายความโน้มเอียงไปสู่ความหวั่นไหวและนิสัยที่ตามติดความคิดที่ฟุ้งซ่าน ซึ่งจะดึงดูดสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน หรือ (ในกรณีที่ โศกเศร้า) จะแสดงออกซึ่งความฟุ้งซ่าน ดังนั้นอาจถือกันได้ว่าสมาธิได้แก่ความสามารถที่เหมาะสม คืออินทรีย์ของจิตในข้อที่ว่า สมาธิควบคุมความหุนหันพลันแล่น และความตื่นเต้นได้
สมาธิย่อมแสดงให้เห็นชัดถึงพลังของจิตที่ใช้การได้ ซึ่งไม่หวั่นไหวเพราะความเร่าร้อน เพราะว่าผลที่แท้จริงของสมาธิก็คือสภาพของจิตที่ปราศจากการรบกวน และสภาพที่ชัดเจนซึ่ง แทรกซึมเข้าไปในอารมณ์ของสมาธิ เมื่อจิตบรรลุถึงขั้นนี้จิตจะตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเพราะเหตุ แห่งเครื่องเร้าภายนอก และกระแสแห่งความคิดที่ผสมผสานกันหลายอย่างย่อมสงบ ยิ่งกว่านั้นสมาธิย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการขจัดกิเลสภายในจิตทั้งหมด กระจกเงาที่ขัดดีแล้วย่อม ให้ภาพสะท้อนที่ชัดเจนฉันใด จิตที่บริสุทธิ์ดวงนี้ย่อมฉายแสงภายในของตนให้เห็นหรือรู้แจ้งสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงฉันนั้น ยิ่งกว่านั้น เรายังพบว่าจิตของผู้มีความสุขย่อมจดจ่ออยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง เพราะว่าความเรียบง่ายและความสุขของกายและจิต เป็นสาเหตุโดยตรงของสมาธิ และจะได้รับความสุขดังกล่าวก็ด้วยการฝึกสมาธิ
๓ สมาธิแบบต่างๆ
ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายสมาธิในลักษณะต่างๆ ตามที่พระพุทธโฆษาจารย์บรรยายไว้ใน พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
๑. สมาธิ หมายถึงการรวมจิตไว้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ความเป็นหนึ่ง) และลักษณะสำคัญ ของสมาธิก็คือความเป็นอิสระจากความหวั่นไหว แต่ก็มีคำอธิบายที่กว้างมาก ครอบคลุมถึง ระบบการพัฒนาจิตทั้งหมด ซึ่งได้มาจากการฝึกสมาธิอย่างเข้มข้น
๒. สมาธิ ๒ ประเภท
๒.๑  สมาธิ มี ๒ ประเภท ตามที่ได้รับการฝึกและพัฒนาไปตามลำดับ คือ อุปจารสมาธิ กับ อัปปณาสมาธิ คำว่า “อุปจาร” ซึ่งแปลว่า “การเข้าใกล้”หรือ “อุปกรณ์” ตามศัพท์หมายถึง “การเข้าไปใกล้” สภาพแห่งฌาน คือว่า เมื่อการรวมจิตเริ่มจะเข้มข้นหรือ ใกล้จะบรรลุฌาน ถ้าจะกล่าวให้ชัดก็คือว่าจุดนี้เป็นขั้นหนึ่งก่อนจะถึงอัปปณาและจัดอยู่ในขั้น กามาพจร หรือที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งหลาย แต่เมื่อมีความสัมพันธ์กับสมาธิแบบที่ดี มากยิ่งขึ้น เช่น พุทธานุสสติ เป็นต้น ก็จะมีลักษณะเหมือนฌาน และอยู่ในธรณีประตูแห่ง รูปาวจรหรือวิญญาณซึ่งเป็นระดับมีรูป ในขั้นต้นอุปจารสมาธิจะเกิดขึ้นจากการฝึกจิตทุกรูปแบบ
อัปปณาสมาธิ เป็นคำที่ใช้กับสมาธิซึ่งเกี่ยวกับองค์ฌานและพัฒนาไปสู่ฌานที่ ๔ อย่างมีระบบ คำนี้ใช้กับอรูปฌาน และภาวะที่พ้นโลกคือ โลกุตตระด้วย ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “ecstasy” หรือ “ecstatic” แต่ตามศัพท์หมายถึง “การรวมไว้ด้วยกัน” หรือ “การขึ้นไปสู่ ภาวะแห่งฌาน” ในสมาธิขั้นนี้ จิตและอารมณ์ของสมาธิเป็นอันเดียวกัน วิญญาณจะเลื่อนเข้าสู่ สภาพแห่งฌานโดยอาศัยสมาธิ และการสัมผัสกับอายตนะภายนอกจะเข้มขึ้น คือจะมีการ ตรวจสอบกระแสจิต เพื่อว่าผู้บำเพ็ญฌานจะได้รับความสงบเป็นครั้งแรกแบบใหม่ ซึ่งอธิบาย ไม่ได้และมีภาพในจิตที่ชัดเจน ความสงบดังกล่าวเกิดมาจากการปฏิบัติขั้นต้นเพื่อได้บรรลุ ปฐมฌาน ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า “การฝึกขั้นเตรียมการเพื่อบรรลุปฐมฌาน เป็นสาเหตุโดยตรง ซึ่งก่อให้เกิด ปฐมฌาน” ควรสังเกตว่า อัปปณาเป็นอันเดียวกับฌานเพราะเป็นการนำเอาคำมาใช้และจะบรรลุฌานได้ก็โดยการสร้างสมาธิให้เกิดในอารมณ์ของกรรมฐานทั้งหลาย ซึ่งท่านกำหนดไว้เพื่อให้เกิดฌาน สมาธิ ๒ ประเภทนี้เองที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้นโดยวิธีต่างๆ และ ความแตกต่างระห่วางสมาธิ ๒ ประเภทนี้ โดยหลักจะขึ้นอยู่กับขั้นของความเข้ม และผลทาง จิตวิทยาที่มีต่ออารมณ์กรรมฐานที่ผู้ปฏิบัติเลือก คำว่า “อุปจาร” และ “อัปปณา” จะพบได้ ในอรรถกถาเท่านั้น ซึ่งท่านใช้เพื่อกำหนดขั้นของสมาธิ   
คำ “อัปปณา” จะพบได้ในคัมภีร์พระธรรมลังคณีในฐานะเป็นคำที่มีความหมาย เท่ากันคำว่า “วิตก” ในความหมายที่ว่า “ขึ้นสู่” อารมณ์ พระอรรถกถาจารย์อาจนำคำนี้มาใช้ เพื่ออธิบายถึงแนวทางในการเปลี่ยนรูปแบบของสมาธิเป็นขั้นฌานก็เป็นได้
      ๒.๒ สมาธิมี ๒ ประเภทตามสภาพของผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและฐานะของ สมาธิ คือ โลกิยสมาธิ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “mundane” แสะโลกุตรสมาธิ ภาษาอังกฤษใช้ คำว่า “Supra-mundane” โลกิยสมาธิมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิญญาณในภูมิทั้ง ๓ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ แต่โลกุตรสมาธิเกี่ยวกับอริยมรรค ซึ่งจะนำไปสู่พระนิพพาน
๒.๓ สมาธิมี ๒ ประเภท เนื่องมาจากคุณสมบัติที่สัมพันธ์กันในขั้นของฌาน คือ สมาธิที่เกิดพร้อมกับปิติในปฐมฌานและทุติยฌาน ตามระบบฌาน ๔ และสมาธิที่เกิดพร้อม ปิติใน ๓ ฌานแรกในระบบฌาน ๕ ในฌานที่เหลือไม่มีความเกี่ยวข้องกับปิติ ดังนั้นจึงมี ๒ ประเภท คือ มีปิติ (สัปปิติกะ) และ ไม่มีปิติ (นิปปิติกะ)
      ๒.๔ อนึ่งสมาธิมี ๒ ประเภทตามขั้นของฌานคือ ใน ๓ ฌานแรกตามระบบฌาน ๔  และใน ๔ ฌานตามระบบฌาน ๕, สมาธิประกอบด้วยความสุข (สุขสหคต) และในฌานที่ เหลือทั้ง ๒ ระบบ สมาธิประกอบด้วยอุเปกขา (อุเปกขาสหคต)
๓ สมาธิ ๓ ประเภท
      ๓.๑ เราอาจแบ่งประเภทของสมาธิออกไปได้อีกตามขั้นของความเข้มข้น ดังนั้น สมาธิจึงมี ๓ ประเภท คือ สมาธิที่อยูในขั้นต่ำ (หีน) เพราะเป็นสมาธิที่พึ่งจะบรรลุ สมาธิขั้นกลาง (มัชฌิมะ) ยังไม่แก่กล้าอย่างสมบูรณ์ และสมาธิขั้นสูง (ปณีต) เพราะในขั้นนี้ เป็นสมาธิที่แก่กล้าเต็มที่แล้ว
๓.๒ สมาธิอาจพิจารณาได้เป็น ๓ ประเภท  เมื่อคำนึงถึงองค์ฌานที่แตกต่างออกไปซึ่งมีอยู่ในขั้นต่างๆ คือสมาธิในปฐมฌานแสะอุปจารสมาธิประกอบด้วยวิตกและวิจารสมาธิใน ทุติยฌานตามระบบฌาน ๕ ซึ่งทำลายวิตกเสียได้ยังมีอยู่เฉพาะวิจารเท่านั้น และสมาธิใน ๓ ฌานสุดท้าย ในระบบทั้งสองซึ่งทำลายวิตกและวิจารทั้งสองอย่าง
๓.๓ ใน ๒ ฌานแรกในระบบฌาน ๔ สมาธิประกอบด้วยปิติ แต่สมาธิในฌานที่ ๓ ในระบบฌาน ๔ และในฌานที่ ๔ ในระบบฌาน ๕ สมาธิประกอบด้วยสุข ในฌานที่เหลือ สมาธิประกอบด้วยอุเบกขา อุปจารสมาธิประกอบด้วยปิติ สุข และอุเบกขา ดังนั้น เมื่อพิจารณาองค์ฌานต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับสมาธิ เราจึงถือว่าสมาธิมี ๓ ประเภท
๓.๔ ในภาวะแห่งอุปจารฌาน สมาธิมีพลังอ่อนและอยู่ในขอบเขตจำกัด ดังนั้น จึงเรียกว่า “ปริตฺตสมาธิ” ในภาวะแห่งวิญญาณที่สูงขึ้นซึ่งเกี่ยวกับรูปภูมิ และอรูปภูมิ สมาธิมี พลังและลึกซึ้ง (มหัคคตะ)สมาธิที่ประกอบด้วยอริยมรคเป็นสมาธินับไม่ได้ และเรียกว่า อัปปมาณสมาธิ ดังนั้น เราจึงจัดประเภทสมาธิออกไปอีกเป็น ๓ อย่าง คือ สมาธิที่มีจำกัด สมาธิที่ลึกซึ้ง และสมาธิที่นับไม่ได้
๔  สมาธิ ๔ ประเภท
๔.๑ เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าความสามารถของปัจเจกชนในการบรรลุสมาธิจะแตกต่างกัน และการบรรลุของเขาจัดเป็นกลุ่มได้ ๔ กลุ่ม และมีห้วข้อเป็น ๔ หัวข้อ ดังนี้
๔.๑.๑ สมาธิที่บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติอย่างลำบาก และบรรลุได้ช้า ๔.๑.๒ สมาธิที่บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติอย่างลำบาก แต่บรรลุได้เร็ว 
๔.๑.๓ สมาธิที่บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติอย่างง่าย แต่บรรลุได้ช้า
๔.๑.๔ สมาธิที่บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติอย่างง่าย แสะบรรลุได้เร็ว
ในเรื่องนี้ท่านประมวลขบวนการแห่งการฝึกสมาธิ ซึ่งพิจารณาจากเริ่มต้นฝึก ไปถึงขั้น อุปจารและฌานขั้นต่างๆ เข้าด้วยกันโดยใช้คำว่า ปฏิปทา คือการปฏิบัติหรือการเจริญปัญญา ซึ่งพัฒนาจากอุปจารไปจนถึงขั้นอัปปณา หรือขั้นการบรรลุฌาน ท่านเรียกว่า “อภิญญา” (ความรู้แจ้งสูงสุด)
การฝึกสมาธิในขั้นแรกๆ อาจมีอาการปวดเมื่อยและยากสำหรับบุคคลบางคน เนื่องจากมีสภาพที่ขัดแย้งกันมาก เช่น นิวรณ หรือ สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาซึ่งอาจเกิดขึ้นมา ในกรณีเช่นนี้ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกยากและไม่เพลินที่จะปฏิบัติต่อไป ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีความพยายาม ที่แน่วแน่ เพื่อเอาชนะสิ่งที่เป็นปรปักษ์ดังกล่าว แต่สำหรับผู้ปฏิบัติบางคนผู้ใม่มีสิ่งที่เป็น ปรปักษ์เช่นนี้ การปฏิบัติจะเป็นไปอย่างง่ายดายวิปัสสนาปัญญาจะเกิดขึ้นช้าและอ่อนพลังและ เฉื่อยชาสำหรับพวกหนึ่ง แต่สำหรับอีกพวกหนึ่งจะเกิดขึ้นเร็ว แหลมคม และคล่องตัว
ข้อความต่อไปนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกสมาธิ ในสภาพที่ไม่สบายหรือไม่ได้รับความสำเร็จในเบื้องต้น เช่นการขจัดสิ่งขัดขวางต่างๆ เป็นต้น ขบวนการจะเติมไปด้วยความปวดเมื่อย และจะรู้สึกเกียจคร้าน ผู้ฝึกสมาธิที่มีสภาพสบาย และสามารถผ่านการปฏิบัติขั้นต้นได้จะพบว่า ขบวนการปฏิบัติเป็นไปอย่างง่ายและมีความรู้สึกเร็ว ยิ่งกว่านั้น ในบุคคลผู้ไม่มีความชำนาญจริงๆ ในขั้นอัปปณา เขาจะมีความรู้สึกเกียจคร้าน แต่ในผู้ที่มีความชำนาญเขาจะรู้สึกเร็ว สำหรับผู้ที่ถูกตัณหาครอบงำ การปฏิบัติของเขาจะมี ความปวดเมื่อย สำหรับผู้ที่ปราศจากตัณหาเช่นนั้น การปฏิบัติย่อมเป็นไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับผู้ที่ถูกอวิชชาครอบงำ อภิญญาจะเกิดขึ้นอย่างช้า แต่ผู้ที่ไม่ถูกอวิชชาครอบงำ อภิญญา จะเกิดขึ้นอย่างเร็ว ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีประสบการณในการฝึกสมาธิ เขาจะพบว่าการปฏิบัติของเขา เป็นไปอย่างลำบาก แต่สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน การปฏิบัติของเขาจะดำเนินไปได้อย่างง่ายดาย  โดยทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติวิปัสสนามาก่อนจะพัฒนาปัจเจกปัญญาให้ เกิดขึ้นได้อย่างช้า แต่ผู้ที่เคยปฏิบัติมาก่อน ย่อมสามารถพัฒนาได้อย่างเร็ว
ความสามารถของพระสาวกในการเจริญสมาธิ หรือการพัฒนาปัญญาให้สูงขึ้น จะขึ้น อยู่กับสภาพแห่งกิเลสของตนที่แรงกล้า หรืออ่อนพลัง และขึ้นอยู่กับอิทธิพลอันเกิดจาก คุณภาพของจิต และจริยธรรมของผู้ปฏิบัติ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสหนาและมีความสามารถในด้าน ต่างๆ เช่น ความเชื่อ พลัง สติ การควบคุมจิต และความรู้ยังอยู่ในสภาพที่ยังไม่พัฒนา การปฏิบัติของเขาจะเป็นไปได้ยาก และอภิญญาของเขาก็จะเชื่องช้า แต่สำหรับผู้ที่มีความสามารถมาก ปัญญาจะเกิดขึ้นอย่างเร็ว สำหรับผู้ที่มีกิเลสน้อย แต่อินทรีย์ยังไม่พัฒนา การปฏิบัติจะเป็นไปได้อย่างง่าย แต่อภิญาจะเกิดขึ้นอย่างช้า สำหรับผู้ที่มีอินทรีย์ที่แก่กล้า อภิญญาจะเกิดขึ้นอย่างเร็ว
โดยเหตุที่ความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติและอภิญญาเกิดขึ้น ช้าบ้าง เร็วบ้าง สมาธิ อาจแบ่งได้เป็น ๔ ประเภท
๔.๒ ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งแบ่งสมาธิออกเป็น ๔ ประเภท คือ
๑ สมาธิที่จำกัด และมีอารมณ์จำกัด
๒ สมาธิที่จำกัด แต่มีอารมณ์ไม่จำกัด
๓ สมาธิที่ไม่จำกัด และมีอารมณ์ไม่จำกัด
๔ สมาธิที่ไม่จำกัด แต่มีอารมณ์จำกัด
ในบรรดาสมาธิเหล่านี้ สมาธิซึ่งไม่ก้าวหน้าและดำเนินไปสู่ฌานที่สูงขึ้น เรียกว่าสมาธิ ที่จำกัด สมาธิที่ก้าวหน้าไปโดยปราศจากการแผ่ขยายไปแห่งอารมณ์ เรียกว่า สมาธิที่มีอารมณ์จำกัด สมาธิที่เหมาะสม ก้าวหน้าไปด้วยดีและสามารถก่อให้เกิดฌาน เรียกว่า สมาธิที่ ไม่จำกัด และสมาธิซึ่งก้าวหน้าพร้อมด้วยอารมณ์ที่แผ่ขยายไป เรียกว่า สมาธิที่มีอารมณ์ไม่จำกัด องค์ประกอบที่ต่างกันของลักษณะเหล่านี้ของสมาธิ ทำให้สมาธิมีประเภทต่างๆ ๔ ประเภทดังกล่าวข้างบนนี้
การจัดประเภทของสมาธิดังกล่าวนี้ อาศัยมโนภาพที่ชัดเจนซึ่งนำมาจากอารมณ์ของสมาธิทั้งในรูปธรรมและนามธรรม มโนภาพซึ่งจิตยึดอย่างแน่วแน่นั้นเป็นสมาธิอย่างหนึ่งใน บรรดาสมาธิที่แน่นอนและสมาธิที่ไม่แน่นอน สมาธิซึ่งเป็นคนละแบบกับคุณภาพสากล และ ถูกจำกัดอยู่เฉพาะกับอารมณ์ส่วนบุคคลเท่านั้น เรียกว่า “สมาธิประเภทแน่นอน” และสมาธิที่ ไม่ได้จำกัด ดังนั้น เรียกว่า สมาธิที่ไม่แน่นอน
๔.๓ สมาธิยังแบ่งออกไปอีก ๔ ประเภท เมื่อพิจารณาถึงฌานทั้ง ๔ คือ สมาธิในฌานทั้ง ๔ ซึ่งได้แก่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ในบรรดาสมาธิเหล่านี้  สมาธิในปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ซึ่งทั้งหมดไม่มีนิวรณ์ และสมาธิ นี้ท่านเรียกว่า
ปฐมฌานังคะ คือเป็นองค์แห่งฌานที่ ๑
สมาธิในทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ขจัดวิตก วิจารเสียได้ เหลือแต่ปิติ  สุข และเอกัคคตา สมาธินี้ท่านเรียกว่า ทุติยัชฌานังคะ คือเป็นองค์ แห่งฌานที่ ๒
สมาธิในตติยฌานมีองค์ ๒ คือ ขจัดปิติเสียได้ เหลือแต่สุข กับเอกัคคตา ท่านเรียกสมาธินี้ว่า ตติยัชฌานังคะ คือเป็นองค์แห่งฌานที่  ๑
สมาธิในจตุตถฌาน ซึ่งขจัด สุขเสียได้ มีองค์ ๒ คือ เอกัคคตาสัมปยุตด้วยอุเบกขา สมาธินี้ท่านเรียกว่า จตุตกัชฌานังคะ คือเป็นองค์แห่งฌานที่ ๔
๔.๔ ในทำนองเดียวกัน สมาธิมี ๔ ประเภท คือ
๑ สมาธิที่มีส่วนเสื่อมได้
๒ สมาธิที่มีส่วนมั่นคงได้ 
๓ สมาธิที่จะนำไปสู่ความเด่นชัด (ความเป็นสิ่งวิเศษ) ได้ 
๔ สมาธิที่จะนำไปสู่ความรู้แจ้งได้
ในบรรดาสมาธิเหล่านี้ สมาธิประเภทที่ ๑ จะเสื่อมลงได้เมื่อมีความคิดทางกามารมณ์ เกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งความคิดนี้เป็นปฏิปักษต่ออารมณ์ของสมาธิ ความแน่วแน่มั่นคงของสมาธิ ประเภทที่ ๒ จะมีได้เพราะความตั้งมั่นแห่งสติ ซึ่งมีลักษณะสอดคล้องกับการรวมจิต สมาธิที่นำไปสู่ความเด่นชัด หรือความก้าว-หน้าพิเศษ เป็นผลแห่งการบรรลุฌานที่สูงขึ้น ในที่สุดสมาธิ ซึ่งนำไปสู่ความรู้แจ้งมีส่วนสัมพันธ์กับความคิดเบื่อหน่าย หรือความคิดที่จะออกไปจากโลก
     การแบ่งประเภทของสมาธิดังกล่าวนี้ แบ่งตามคำอธิบายเรื่องขั้นของฌาน ซึ่งท่าน กล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรค และอ้างถึงในวิสุทธิมรรคดังต่อไปนี้
“เมื่อสัญญา (ความจำได้หมายรู้) และมนสิการ (ความคิด) เรื่องกามคุณเกิดขึ้นเสมอๆ ในบุคคลผู้ได้บรรลุปฐมฌาน ปัญญาของเขา (ซึ่งสัมปยุตด้วยสมาธิ) จะเสื่อมลง เมื่อสติซึ่ง ปรากฎในปฐมฌานนั้นตั้งมั่นดีแล้ว ปัญญาย่อมมั่นคง ความรู้และความคิดซึ่งปราศจากวิตก ย่อมเกิดขึ้นในขั้นทุติยฌาน และปัญญาก็จะเด่นชัดขึ้น เมื่อความรู้และความคิดซึ่งมีความเบื่อหน่ายอันประกอบ ด้วยการไม่ยึดถือเกิดขึ้น ในขั้นวิปัสสนา) แล้ว ปัญญาจะนำไปสู่การหลุดพ้น”
สมาธิยังแบ่งออกไปอีกเป็น ๔ ประเภท และประเภทหนึ่งๆ จะมีสภาพต่างๆ กันดังนี้
๑  สมาธิที่อยู่ในชั้นกามาวจร
๒  สมาธิที่อยู่ในชั้นรูปาวจร
๓  สมาธิที่อยู่ในชั้นอรูปาวจร
๔  สมาธิที่ไม่อยู่ในชั้นทั้ง ๓ ข้างบนนี้
บรรดาสมาธิเหล่านี้ อุปจารสมาธิ หรือสมาธิที่ใกล้ เป็นกามาวจร และสมาธิที่เหลือ ๓ อย่าง เป็นอัปปณาสมาธิซึ่งสัมปยุตด้วยความรู้แจ้งในรูป ในอรูปและในโลกุตตระตามลำดับ
เนื่องจากอิทธิพลแห่งพลังทางจิตในภูมิ ๔ มีอำนาจสูง สมาธิอาจแบ่งเป็น ๔ ประเภทได้ดังนี้
๑ สมาธิที่บรรลุด้วยอำนาจแห่งความพอใจ
๒ สมาธิที่บรรลุด้วยอำนาจแห่งความเพียร
๓ สมาธิที่บรรลุด้วยอำนาจแห่งความคิด
๔ สมาธิที่บรรลุด้วยอำนาจแห่งการตรวจสอบ
มีข้อความในพระคัมภีร์วิภังค์กล่าวถึงการแบ่งประเภทสมาธิข้างบนนี้ดังต่อไปนี้
“ถ้าภิกษุผู้ยึดความพอใจเป็นพลังใหญ่ ได้บรรลุสมาธิคือบรรลุความเป็นสภาพรวม แห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า ฉันทสมาธิ (สมาธิที่ได้บรรลุด้วยพลังแห่งความพอใจ) ถ้าภิกษุผู้ยึด ความเพียรเป็นพลังใหญ่ได้บรรลุสมาธิ คือบรรลุความเป็นสภาพรวมแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า วิริยสมาธิ (สมาธิที่ได้บรรลุด้วยพลังแห่งความเพียร) ถ้าภิกษุผู้ยึดจิตเป็นพลังใหญ่ได้บรรลุสมาธิคือ บรรลุความเป็นสภาพรวมแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่าจิตตสมาธิ (สมาธิที่ได้บรรลุด้วย พลังแห่งจิต) ถ้าภิกษุผู้ยึดการสอบสวนเป็นพลังใหญ่ สมาธินี้ท่านเรียกว่า วิมังสาสมาธิ (คือสมาธิที่ได้บรรลุด้วยพลังความรู้ในการไตร่ตรอง) ดังนั้น สมาธิจึงแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ย่อย ตามความเด่นของตน 
๕. สมาธิ ๕ อย่าง
ในการแบ่งประเภทสมาธิที่จะกล่าวต่อไปนี้ สมาธิมี ๔ อย่าง ตามฌานทั้ง ๔ คือ ปฐมฌานสมาธิ ได้แก่สมาธิในองค์ฌานที่ ๑ เป็นต้น การแบ่งเช่นนี้อาศัยหลักคำสอนเรื่อง ระบบฌาน ๕ ซึ่งปรากฎในคัมภีร์พระอภิธรรม ตามที่แสดงไว้แล้ว
ตารางสมาธิ
๑.  เอกวิธ = สมาธิ ๑ ชนิด ได้แก่ อวิกเขป คือ ไม่หวั่นไหว
๒. ทุวิธ = สมาธิกลุ่ม๒ได้แก่
กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ โลกียสมาธิ และโลกุตตรสมาธิ
กลุ่มที่ ๓ ได้แก่ สัปปีติกสมาธิ และนิปปีติกสมาธิ
กลุ่มที่ ๔ ได้แก่ สุขสหคตสมาธิ และ อุเปกขาสหคตสมาธิ
๓. ติวิธ = สมาธิกลุ่ม ๓ ได้แก่
กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ หีนสมาธิ, มัชฌิมสมาธิ และปณีตสมาธิ
กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ สวิตักกสมาธิ สวิจารสมาธิ, อวิตักกสมาธิ วิจารมัตตสมาธิ และอวิตักกสมาธิ อวิจารสมาธิ
กลุ่มที่ ๓ ได้แก่ ปิติสหคตสมาธิ สุขสหคตสมาธิ และอุเปกขาสหคตสมาธิ กลุ่มที่ ๔ ได้แก่ ปริตตสมาธิ มหัคคตสมาธิ และอัปปมานสมาธิ
๔. จตุพพิธ = สมาธิกลุ่ม ๔ ได้แก่
กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา
กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ ปริตต ปริตรตารัมมณะ ปริตตอัปปมาณารัมมณะ  อัปปมาณ ปริตตารัมมณะ อัปปมาณ อัปปมาณารัมมณะ
กลุ่มที่ ๓ ได้แก่ ปฐมัชชฌานังคสมาธิ ทุติยัชฌานังคสมาธิ ตติยัชฌานังคสมาธิ จตุตถัชฌานังคสมาธิ
กลุ่มที่ ๔ ได้แก่ หานภาคิยสมาธิ ฐิติภาคิยสมาธิ วิเสสภาคิยสมาธิ นิพเพธภาคิยสมาธิ
กลุ่มที่ ๕ ได้แก่ กามาวจรสมาธิ รูปาวจรสมาธิ  อรูปาวจรสมาธิ อปริยาปันนสมาธิ
กลุ่มที่ ๖ ได้แก่ ฉันทาธิปติสมาธิ วิริยาธิปติสมาธิ จิตตาธิปติสมาธิ วิมังสาธิปติสมาธิ
๕. ปัญจริวธ = สมาธิกลุ่ม ๕ ได้แก่ ปฐมัชฌานังคสมาธิ ทุติยัชฌานังคสมาธิ ตติยัชฌานังคสมาธิ จตุตกัชฌานังคสมาธิ ปัญจมัชฌานังคสมาธิ
นอกจากการแบ่งประเภทสมาธิตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการแบ่งสมาธิแบบอื่นๆ อีก ซึ่งปรากฎในพระคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ ในลำดับที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ และรวมถึงสมาธิ ๕๕ ชนิด และความหมายที่ชัดเจน ๒๕  อย่าง ของคำนี้ สมาธิเหล่านี้แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของ กัมมัฏฐานและภาวนาระดับต่างๆ ซึ่งจะอธิบายในตอนที่ว่าด้วยการฝึกสมาธิและวิธีที่จะบรรลุสมาธิ
สารบัญ

No comments:

Post a Comment