Tuesday, July 26, 2016

บทที่ ๕ อารมณ์กรรมฐานและวิธีปฏิบัติกรรมฐาน

บทที่ ๕

อารมณ์กรรมฐานและวิธีปฏิบัติกรรมฐาน

ในบทก่อนๆ ได้กล่าวถึงประเด็นต่างๆ ที่ยืนยันว่าเป็นหลักของสมาธิในพระพุทธศาสนา  ตามที่ท่านอธิบายไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหลาย
จุดมุ่งหมายในการฝึกจิตก็เพื่อชำระจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสและความชั่วทั้งหลาย เพื่อสร้างพลังที่แท้จริงขึ้นเพื่อบรรลุถึงความรู้ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่จะพ้นทุกข์พ้นโศก ไปเสียได้
อนึ่ง การฝึกจิตในพระพุทธศาสนา ได้แก่การฝึกให้คิดให้ประณีตยิ่งขึ้น ฝึกให้มีอุดมคติ อันสูง และการควบคุมจิตให้อยู่ในหลักแห่งศีลธรรมและคุณธรรม จิตที่ถูกส่งไปจดจ่ออยู่กับ การรับรู้สิ่งดีๆ ทั้งหมดนั้นจะเป็นจิตที่ผ่องใส และแผ่ซ่านไปตามธรรมชาติเดิมของตน
ดังนั้น ในเบื้องต้น จำเป็นจะต้องรวบรวมความสนใจไปสู่วัตถุสิ่งหนึ่งหรืออารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งปราศจากกิเลส เพื่อที่จะได้มโนภาพที่บริสุทธิ์ พระโยคาวจรรักษามโนภาพนี้ไว้เป็นอุดมคติของตน และฝึกจิตให้เพ่งอยู่กับมโนภาพนั้น จิตจะมีสภาพบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะธรรมชาติของมันเอง แต่เพราะการเกิดขึ้นแห่งความคิดที่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์  ดังนั้นอารมณ์ที่จะรักษาไว้ซึ่งความสนใจขั้นต้นจะต้องสัมพันธ์กับความบริสุทธิ์  คุณธรรมและความจริง ยิ่งกว่านั้น อารมณ์หรืออุดมการณ์ ซึ่งเลือกสรรสำหรับสมาธิจะเป็น อารมณ์ประเภทที่จะก่อให้เกิดผลทางด้านจิตวิทยา ซึ่งเหมาะที่จะเป็นอารมณ์เฉพาะของผู้บำเพ็ญสมาธิ
พระคัมภีร์ทั้งหลายบันทึกไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบอย่างชัดแจ้งถึงอารมณ์ทางจิต ซึ่งมีหลายหลาก และความโน้มเอียงภายในของผู้ที่แสวงหาความหลุดพ้น และทรงเสนอวิธีต่างๆ ให้ผู้แสวงหาความหลุดพ้นเหล่านั้น และวิธีเหล่านี้พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างดี เพราะจำเป็นจะต้องขยายโอกาสการฝึกตามระบบนี้ไปสู่จิตหลายดวง
วิธีฝึกจิตเหล่านี้ต่อมาได้รับการเปลี่ยแปลงปรับขยาย และจัดเป็นกลุ่มโดยวิธีต่างๆ  ซึ่งก่อให้เกิดแผนการเจริญสมาธิแบบต่างๆ ขึ้นตามผลและคุณค่าที่เกิดขึ้นทางจิตวิทยา รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดวิญญาณที่มีระดับสูงขึ้น และความเหมาะสมกับอุปนิสัยของแต่ละบุคคล วิธีเหล่านี้ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์นิกายต่างๆ ในคัมภีร์พระอภิธรรมและในอรรถกถาทั้งหลาย นอกเหนือจากคัมภีร์ต่างๆ ที่กล่าวถึงสมาธิในรูปแบบที่นำมาปฏิบัติกันและมีอยู่ในฝ่ายเถรวาท
เพื่อความกระจ่างและความสะดวก ขอนำเอาวิธีเจริญสมาธิมาแสดงตามลำดับดังต่อไปนี้
๑.วิธีที่พบในคัมภีร์นิกายต่างๆ
๒.วิธีที่พบในพระคัมภีร์พระอภิธรรม  
๓.วิธีที่พบในหนังสือที่พระพุทธโฆษาจารย์นิพนธ์ (เช่น วิสุทธิมรรค และคัมภีร์อื่น ๆ)
๑  วิธีที่พบในคัมภีร์นิกายต่างๆ
วิธีเจริญสมาธิในคัมภีร์นิกายทั้งหลายท่านกล่าวไว้ ๒ วิธี คือ วิธีปฏิบัติที่เป็นเสมือน คำแนะนำที่เหมาะสมกับอุปนิสัยเฉพาะอย่างของแต่ละบุคคล และวิธีปฏิบัติที่มีคำอธิบาย  อย่างละเอียดถึงระบบการฝึกสมาธิทั่วๆไป คัมภีร์ฌาณวรรคในอังคุตตรนิกาย ตอนที่ว่าด้วย เอกนิกายให้รายชื่ออย่างพิสดาร ซึ่งพบในนิกายทั้งหลายที่กล่าวถึงเรื่องต่างๆ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงเสนอแนะไว้  ซึ่งมีดังต่อไปนี้
๑. ฌาน ๔
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เจริญปฐมฌาน แม้ชั่วขณะหนึ่ง คือแม้เพียงชั่วลัดมือเดียว ก็ได้ชื่อว่าเป็นภิกษุผู้คุ้นเคยอยู่กับฌาน ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้า และผู้สมควรได้รับอาหารบิณฑบาต ซึ่งชาวเมืองหรือผู้มีศรัทธาถวาย”
ข้อความเช่นนี้ใช้ได้กับฌานอื่นๆ อีก ๓ อย่าง และมีหัวข้อธรรมต่อไปนี้เหมือนกัน คือ
๒. หัวข้อธรรม ๔ อย่าง ซึ่งเรียกว่า พรหมวิหาร ๔ คือ
๒.๑ เมตตา - เจโตวิมุตติ - สมาธิที่เกิดจากเมตตารักใคร่
๒.๒ กรุณา - เจโตวิมุตติ - สมาธิที่เกิดจากความกรุณาสงสาร
๒.๓ มุทิตา - เจโตวิมุตติ - สมาธิที่เกิดจากความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
๒.๔ อุเปกขา - เจโตวิมุตติ - สมาธิที่เกิดจากความวางเฉย
๓. สติปัฎฐาน คือที่ตั้งแห่งสมาธิ ๔ อย่าง
๓.๑ กายานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นกาย
๓.๒ เวทนานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นความรู้สึก
๓.๓ จิตตานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นจิต
๓.๔ ธัมมานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นธรรม
พระอรรถกถาจารยกล่าวไว้ว่า มีพระภิกษุบางรูปเบื่อหน่ายต่อการฟังอัคคิขันโธปมสูตร  ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่พระภิกษุชั่วทั้งหลายผู้รับปัจจัยจากชาวบ้านแล้วไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ท่านกล่าวไว้เพื่อปลอบใจภิกษุชั่วทั้งหลายเหล่านั้นว่า พระพุทธองค์ทรงเทศนาพระสูตรเหล่านี้ โดยวิธีนี้เพื่อจะทรงเสนอแนะว่า การเจริญสมาธิเป็นหน้าที่ของภิกษุทั้งหลาย
๔. ความพยายามชอบ ๔ อย่าง
๔.๑ สัมมัปปธาน - ความพยายามชอบเพื่อที่จะป้องกันมิให้ความคิดชั่วเกิดขึ้น
๔.๒ สัมมัปปธาน - ความพยายามชอบเพื่อที่จะป้องกันความคิดชั่วที่เกิดขึ้น แล้วมิให้ตั้งมั่นอยู่ได้
๔.๓ สัมมัปปธาน - ความพยายามชอบ เพื่อที่จะส่งเสริมให้ความคิดดีเกิดขึ้น
๔.๔ สัมมัปปธาน - ความพยายามชอบเพื่อที่จะเพิ่มพูนความคิดดีที่เกิดขึ้นแล้ว
๕. อิทธิบาท คือฐานที่ก่อให้เกิดพลังจิต ๔ อย่าง
๕.๑ ฉันทะอิทธิบาท สมาธิที่เจริญด้วยความพอใจ
๕.๒ วิริยะอิทธิบาท  สมาธิที่เจริญด้วยความเพียร
๕.๓ จิตตะอิทธิบาท สมาธิที่เจริญด้วยความคิด
๕.๔ วิมังสาอิทธิบาท สมาธิที่เจริญด้วยความไตร่ตรอง
๖. อินทรีย์ ๕
๖.๑ สัทธินทรีย์ = ความเป็นใหญ่ด้วยความเชื่อ
๖.๒ วิริยินทรีย์ = ความเป็นใหญ่ด้วยความเพียร
๖.๓ สตินทรีย์ =  ความเป็นใหญ่ด้วยสติคือความระลึกได้
๖.๔ สมาธินทรีย์ = ความเป็นใหญ่ด้วยสมาธิ
๖.๕ ปัญญินทรีย์ = ความเป็นใหญ่ด้วยปัญญา
๗. พลัง ๕
๗.๑ สัทธาพลัง = พลังแห่งความเชื่อ
๗.๒ วิริยพลัง    = พลังแห่งความเพียร
๗.๓ สติพลัง =     พลังแห่งสติ
๗.๔ สมาธิพลัง = พลังแห่งสมาธิ
๗.๕ ปัญญาพลัง = พลังแห่งปัญญา
๘. ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ๗
๘.๑ สติสัมโพชฌงค์ = สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๘.๒ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ = การสอบสวนธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๘.๓ วิริยสัมโพชฌงค์ = พลังเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๘.๔ ปิติสัมโพชฌงค์ = ความอิ่มใจเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๘.๕ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ = ความสงบเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๘.๖ สมาธิสัมโพชฌงค์ = ความมีจิตแน่วแน่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๘.๗ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ = ความวางเฉยเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
๙. มรรคมีองค์ ๘
๙.๑ สัมมาทิฏฐิ = ความเห็นชอบ
๙.๒ สัมมาสังกัปปะ = ดำริชอบ, ตั้งใจไว้ชอบ
๙.๓ สัมมาจาวา = วาจาชอบ
๙.๔ สัมมากัมมันโต= การงานชอบ
๙.๕ สัมมาอาชีโว = เลี้ยงชีวิตชอบ
๙.๖ สัมมาวายาโม = ความพยายามชอบ
๙.๗ สัมมาสติ = ความระลึกชอบ
๙.๘ สัมมาสมาธิ = สมาธิคือความแน่วแน่แห่งจิตที่ชอบ
(ธรรม ๗ หมวด คือ หมวดที่ ๓ ถึง หมวดที่ ๙ มีหลักธรรม ๓๗ ประการ มีชื่อว่า โพธิปักขิยธรรม (คือธรรมที่เป็นส่วนประกอบให้ได้ตรัสรู้)
๑๐. ขั้นตอนแห่งการบรรลุถึงความหลุดพ้น ๘ อย่าง
๑๐.๑ เมื่อมีฌานซึ่งได้บรรลุด้วยรูปวัตถุในภายใน คือสิ่งที่เรียกว่า กสิณ พระโยคาวจร ย่อมเห็นรูปกสิณ ที่คล้ายคลึงกันในภายนอก
๑๐.๒ เมื่อไม่มีฌานซึ่งเกิดจากรูปกสิณในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปกสิณ ภายนอก
๑๐.๓ พระโยคาวจรจดจ่ออยู่กับความคิดที่ว่า “ดี”
๑๐.๔ พระโยคาวจรเมื่อภาวนาพ้นขอบเขตของรูปสัญญา และไม่มีสัญญา ต่อต้านคือปฏิฆสัญญาไม่สนใจกับความหมายรู้ใดๆ คิดเพียงว่า “อวกาศ ไม่มีที่สิ้นสุด” ย่อมบรรลุและตั้งอยู่ในอวกาศอันหาที่สุดมิได้
๑๐.๕ เมื่อพิจารณาเลยอวกาศอันหาที่สุดมิได้ด้วยคิดว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” ย่อมบรรลุ และตั้งอยู่ในภูมิแห่งวิญญาณอันหาที่สุดมิได้ ปราศจากสิ่งใดๆ นั่นก็คือ อวกาศนั่นเอง
๑๐.๖ เพราะพิจารณาเลยวิญญาณอันหาที่สุดมิได้ และคิดว่า “ไม่มีสิ่งใดเลย” พระโยคาวจรย่อมบรรลุ และตั้งอยู่ในภูมิแห่งความไม่มีสิ่งใด คือปราศจาก วิญญาณ
๑๐.๗ เพราะผ่านภูมิแห่งความไม่มีสิ่งใด พระโยคาวจรย่อมบรรลุ และตั้งอยู่ใน ภูมิที่จะกล่าวว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่
๑๐.๘ เมื่อผ่านภูมิที่ว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ พระโยคาวจร ย่อมบรรลุและตั้งอยู่ในภูมิดับ (นิโรธ) คือดับสัญญา และเวทนาเสียได้
๑๑. ขั้นตอนแห่งความเป็นใหญ่ในการควบคุม (อภิภายตนะ) ๘ อย่าง
       ๑๑.๑ เพราะมีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปภายนอก ซึ่งจำกัด สีสวยหรือไม่สวยก็ตาม ควบคุมรูปสัญญาเหล่านั้นได้แล้ว ย่อมคิดว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” พระโยคาวจรเข้าใจดังนี้
๑๑.๒ เพราะมีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปภายนอก ซึ่งไม่มี ขอบเขตจำกัด มีสีสวยหรือไม่สวยก็ตาม เมื่อควบคุมรูปสัญญาเหล่านั้น ได้แล้ว ย่อมคิดว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” พระโยคาวจรเข้าใจดังนี้
๑๑.๓ เพราะไม่มีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปภายนอก ซึ่งจำกัด มีสีสวยงาม หรือไม่มีสวยงามก็ตาม หลังจากควบคุมรูปเหล่านั้นได้แล้ว เมื่อคิดคำนึงว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” ย่อมเข้าใจดังนี้
๑๑.๔ เพราะไม่มีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปในภายนอก ซึ่งไม่มีจำกัด มีสีสวยหรือไม่สวยก็ตาม หลังจากควบคุมรูปเหล่านั้นได้แล้ว เมื่อคิดคำนึงว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” ย่อมเข้าใจดังนี้
๑๑.๕ เพราะไม่มีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปในภายนอกซึ่งมี สีน้ำเงิน และมีลักษณะเป็นสีน้ำเงิน และมีแสงสะท้อนเป็นสีน้ำเงิน หลังจากควบคุมรูปเหล่านั้นได้แล้ว เมื่อคิดคำนึงว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” ย่อมเข้าใจดังนี้
๑๑.๖ เพราะไม่มีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปในภายนอกซึ่งมี สีแดง มีลักษณะมีสีแดง และมีแสงสะท้อนเป็นสีแดง หลังจากควบคุม รูปเหล่านั้นแล้ว เมื่อคิดคำนึงว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” ย่อมเข้าใจดังนี้
๑๑.๗ เพราะไม่มีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปในภายนอกซึ่งมี สีเหลือง มีลักษณะสีเหลือง และมีแสงสะท้อนเป็นสีเหลือง หลังจาก ควบคุมรูปเหล่านั้นได้แล้ว เมื่อคิดว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” ย่อมเข้าใจดังนี้
๑๑.๘ เพราะไม่มีรูปสัญญาในภายใน พระโยคาวจรย่อมเห็นรูปภายนอก ซึ่งมี ลักษณะมีสีขาว และมีแสงสะท้อนเป็นสีขาว หลังจากควบคุมรูปเหล่านั้น แล้ว เมื่อคำนึงว่า “ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น” ย่อมเข้าใจดังนี้
๑๒. กสิณ ๑๐ อย่าง
๑. ปฐวีกสิณ    = มีแผ่นดินเป็นเครื่องหมาย
๒. อาโปกสิณ    = มีน้ำเป็นเครื่องหมาย
๓. เตโชกสิณ    = มีไฟเป็นเครื่องหมาย
๔. วาโยกสิณ    = มีลมเป็นเครื่องหมาย
๕. นีลกสิณ    = มีสีเขียวเป็นเครื่องหมาย
๖. ปีตกสิณ    = มีสีเหลืองเป็นเครื่องหมาย
๗. โลหิตกสิณ    = มีสีแดงเป็นเครื่องหมาย
๘. โอทาตกสิณ= มีสีขาวเป็นเครื่องหมาย
๙. อากาสกสิณ    = มีช่องว่างเป็นเครื่องหมาย
๑๐.วิญณาณกสิณ = มีวิญญาณเป็นเครื่องหมาย
๑๓. สัญญา ๒o
ก. อารมณ์ภายนอก
๑. อสุภสัญญา การกำหนดรู้สิ่งที่สกปรก
๒.อาโลกสัญญา การกำหนดรู้แสงสว่าง
๓.อาหาเรปฏิกูลสัญญา การกำหนดรู้สิ่งปฏิกูลในอาหาร
๔.สัพพโลเก อนภิรตสัญญา การกำหนดรู้ความไม่ยินดีในโลกทั้งปวง
๕.อนิจจสัญญา การกำหนดรู้ความไม่เที่ยง
๖.อนิจเจทุกขสัญญา การกำหนดรู้ความรู้ความทุกข์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง
๗.ทุกเข อนัตตสัญญา การกำหนดรู้ความไม่มีตัวตนในทุกข์
๘.ปหานสัญญา การกำหนดรู้การละ
๙.วิราคสัญญา การกำหนดรู้ความไม่มีกำหนัด
๑๐.นิโรธสัญญา การกำหนดรู้การดับ
ข. ความคิด
๑๑.อนิจจสัญญา การกำหนดรู้ความไม่เที่ยง
๑๒.อนัตตสัญญา การกำหนดรู้ความไม่มีตัวตน
๑๓.มรณสัญญา การกำหนดรู้การตาย
๑๔.อาหาเรปฏิกูลสัญญา การกำหนดรู้ความน่าเกลียดในอาหาร
๑๕.สัพพโลเก อนภิรตสัญญา การกำหนดรู้ถึงความไม่ยินดีในโลกทั้งปวง ๑๖.อัฎฐิกสัญญา การกำหนดรู้ซากศพที่เหลือแต่กระดูก
๑๗.ปุลุวกสัญญา การกำหนดรู้ซากศพที่มีฝูงหนอนเกลื่อนกล่น
๑๘.วินีลกสัญญา การกำหนดรู้ซากศพที่มีสีเขียว
๑๙.วิจฉิททกสัญญา การกำหนดรู้ซากศพที่ถูกทอดทิ้ง
๒๐.อุทธุมาตกสัญญา การกำหนดซากศพที่พองขึ้น
๑๔. อนุสสติ ๖ สติ ๔
๑. พุทธานุสสติ การตามระลึกถึงพระพุทธเจ้า
๒. ธัมมานุสสติ การตามระลึกถึงพระธรรม
๓. สังฆานุสสติ การตามระลึกถึงพระสงฆ์
๔. สีลานุสสติ การหวนระลึกถึงศีล
๕. จาคานุสสติ การหวนระลึกถึงการบริจาค
๖. เทวดานุสสติ การหวนระลึกถึงเทวดา
๗. อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก
๘. มรณาสติ การระลึกถึงความตาย
๙. กายคตาสติ การระลึกถึงร่างกาย
๑๐. อุปสมานุสสติ การระลึกถึงความสงบสุข
ในรายชื่อนี้ มีอารมณ์กรรมฐานอยู่ ๑๐๑ ชนิด รวมถึงฌาน ๔ และวิธีเหล่านี้ จะพบได้ในนิกายต่างๆ บางครั้งท่านแยกเป็นเอกเทศบางครั้งท่านกล่าวรวมๆ กัน ตามโอกาสและจุดประสงค์ที่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายเสนอ
ในมหาสกุลทายิสูตรท่านให้รายชื่อไว้ครบถ้วน เกือบจะเป็นแบบเดียวกันกับในฌานวรรค รายชื่อดังกล่าวปรากฎในขณะพระพุทธเจ้าทรงอธิบายระบบแห่งการเจริญสมาธิภาวนาทุกอย่างแก่พระสาวกทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ประทานแก่พระอุทายิ ผู้เป็นนักบวชเที่ยวแสวงบุญ และนำเสนอเรื่องนี้ในระหว่างการอภิปรายร่วมกัน ในที่นี้เราจะพบหลัก ๗ ประการ ซึ่งแบ่งเป็น กลุ่มได้ ๑๙ กลุ่ม ๑๒ กลุ่มแรก มีวิธีการฝึกสมาธิอยู่ ๖๘ วิธีด้วยกัน คือ
โพธิปักขิยธรรม (ธรรมอันเป็นส่วนช่วยให้เกิดปัญญา) ๓๗ ประการ วิโมกข์ (ความหลุดพ้น) ๘ ประการ
อภิภายตนะ ๘   
กสิณายตนะ ๑๐
ฌาน ๔
วิปัสสนาญาณ ๑
ที่เหลืออีก ๗ วิธี นั้นประกอบด้วย
- อำนาจในการปล่อยจิตรูปแบบต่างๆ
- อภิญญา (ความรู้แจ้ง) ๕ อย่าง
- ความรู้เรื่องการดับอาสวกิเลส ซึ่งนำไปสู่พระนิพพาน
ในรายชื่อทั้ง ๒ นี้ อารมณ์กรรมฐานและวิธีเจริญกรรมฐานได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็น ทางให้บรรลุสมาธิ และเป็นทางวิปัสสนาทั้งสองอย่าง

วิธีเจริญวิปัสสนา

ในบทสนทนาที่ ๒๔ ในมัชฌิมนิกาย ซึ่งมีชื่อว่า รถวินีตสูตร ในการตอบปัญหาของ พระสารีบุตร พระปุณณะได้แสดงวิธี ๗ อย่าง โดยบรรยายว่า เป็นขั้นต่อเนื่องเพื่อบรรลุ ความบริสุทธิ์ ซึ่งจะนำไปสู่การขจัดความทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง วิธีดังกล่าวได้แก่
๑. สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีล
๒. จิตตวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แห่งจิต
๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งความเห็น
๔. กังขาวิตรณวิสุทธิ    ความบริสุทธิ์แห่งญาณเป็นเหตุข้ามพ้นความสงสัย
๔. มัคคามัคคญาณทัสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งญานที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือมิใช่ทาง
๖. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งญาณอันรู้เห็นทางดำเนิน
๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ์    ความบริสุทธิ์แห่งความรู้และความเห็น (ในอริยมรรค)
เหล่านี้เป็นลำดับขั้นตอนแห่งการเจริญวิปัสสนาในฐานะเป็นหนทางสายตรงที่จะดำเนินไปสู่พระนิพพาน พระอรรถกถาจารย์ได้แสดงลำดับแห่งการเจริญวิปัสสนาเหล่านี้ไว้ใน รถวินีตสูตร และมีการขยายความไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ในตอนที่ว่าด้วยปัญญา ภาวนาคือความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ที่สมบูรณ์ และท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์พระอภิธรรม มัตถสังคหะ ว่าเป็นหัวข้อแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน
เหล่านี้เป็นวิธีหลักในการเจริญสมาธิ ซึ่งจะพบได้ในนิกายทั้งหลาย และความรู้ ๑๐ ประการในการเจริญวิปัสสนาหรือวิปัสสนาญาณ ๑๐ ซึ่งให้ไว้ข้างล่างนี้ จะพบว่าเป็นความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปจากวิสุทธิ ๗ อย่างที่กล่าวแล้ว หลักเหล่านี้พร้อมด้วยขอบข่ายอันกว้างขวาง ย่อมครอบคลุมไปถึงแบบแห่งการฝึกจิตในพระพุทธศาสนาทุกอย่าง
๒. อารมณ์กัมมัฏฐานและวิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานที่พบพระคัมภีร์อภิธรรม
ในพระคัมภีร์อภิธรรม วิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานเกือบทุกอย่างที่กล่าวไว้ในรายชื่อข้างบนนี้ ท่านบรรยายไว้ในตอนที่ว่าด้วยลักษณะแห่งจิตวิทยา ในพระคัมภีร์ธัมมสังคิณี จะพบอารมณ์กัมมัฎฐานต่อไปนี้พร้อมด้วยหลักแห่งฌานทั้งหลายเมื่อท่านอธิบายถึงขั้นต่างๆ แห่งวิญญาณ ซึ่งได้บรรลุในการฝึกจิตในระดับที่สูงขึ้น คือ
๑. กสิณ ๑๐
๒. อภิภายตนะ (อารมณ์ที่เป็นใหญ่) ๑๐   
๓. วิโมกข์ (การหลุดพ้นขั้นต้น) ๓
๔. พรหมวิหาร ๔
๕. อสุภะ ๑๐ ซึ่งได้แก่
๕.๑ อุทธุมาตกะ คือ (ซากศพที่พองขึ้น)
๕.๒ วินีลกะ (ซากศพที่มีสีเขียว)
๕.๓ วิปุพพกะ (ซากศพที่มีน้ำหนองไหล)
๕.๔ วิฉิททกะ (ซากศพที่ถูกทอดทิ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นใหญ่)
๕.๕ วิกขาวิตกะ (ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน จนเสียรูปปกติ)
๕.๖ วิกขิตตกะ (ซากศพที่กระจัดกระจายไป)
๕.๗ หตวิกขิตตกะ (ซากศพที่ถูกตัดและแยกเป็นส่วนๆ)
๕.๘ โลหิตกะ (ซากศพที่เปื้อนเลือด)
๕.๙ ปุลุวกะ (ซากศพที่หนอนเจาะไช)
๕.๑๐ อัฎฐิกะ (ซากศพที่เหลือแต่กระดูก)
๖. อรูปฌาน ๔ ซึ่งสอดคล้องกับวิโมกข์ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗
ในรายชื่อนี้เราจะพบเฉพาะกสิณ ๘ เท่านั้น โดยทิ้งกสิณ ๒ อย่างสุดท้ายเสีย เพราะทั้ง ๒ อย่างนี้เกี่ยวข้องกับอรูปฌาน ในกรณีนี้ มีข้อความท่านกล่าวไว้ว่าในอรรถกถาดังต่อไปนี้
“ในมหาสกุลทายีสูตร ท่านกล่าวถึงกสิณ ๑๐ อย่าง ในบรรดากสิณ ๑๐ อย่างนี้ วิญญาณกสิณ เป็นเช่นเดียวกับวิญณาณอันบริสุทธิ์ยิ่ง ซึ่งมีอยู่ในอวกาศ (ซึ่งมีอยู่หลังจากขจัด อารมณ์แห่งรูปฌานได้แล้ว) และก็เป็นอันเดียวกับสภาพแห่งวิญญาณที่ไม่มีที่สุด ซึ่งได้บรรลุ โดยการขจัดพื้นภูมิแห่งอวกาศเสียได้ ดังนั้นในทุกแง่มุม จึงมีความสัมพันธ์กับคำสอน เกี่ยวกับการบรรลุสภาพที่ปราศจากรูป ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่กล่าวถึงวิญญาณกสิณไว้ในที่นี้
อากาศกสิณเป็นเช่นเดียวกับสภาพที่ได้บรรลุโดยการขจัดกสิณอันเป็นอารมณ์แห่งรูปฌานอย่างอื่นๆ เสียได้ ซึ่งหมายถึงมโนขันธ์ ซึ่งติดอยู่กับอารมณ์คืออวกาศ อันเป็นอวกาศที่จำกัด ซึ่งควรถือเป็นจุดภายในเส้นรอบวงกลมของช่องในกำแพงเป็นตัวอย่าง และหมายถึง ฌานซึ่งเกิดขึ้นจากอากาศกสิณนั้น ดังนั้นในเบื้องต้น อากาศกสิณจึงเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีรูปและในขั้นที่สอง ย่อมเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีรูป เนื่องจากธรรมชาติคู่ ดังกล่าวนี้ท่านจึงไม่กล่าวถึงอากาศ กสิณ เมื่ออ้างถึงสภาพที่มีรูปอย่างเดียว  อย่างไรก็ตาม รูปฌานที่เกิดจากอวกาศที่มีขอบเขต จำกัด ย่อมเป็นทางให้ได้บรรลุโลกที่มีรูปได้ และดังนั้นควรถือเป็นแนวปฏิบัติได้
จุดสำคัญอีกจุดหนึ่งเกี่ยวกับรายชื่ออารมณ์กรรมฐานเหล่านี้ก็คือการรวมเอาอสุภะ ๑๐ อย่างเข้าไว้ด้วย ซึ่งอสุภะ ๑๐ อย่างนี้ ไม่ปรากฎในนิกายทั้งหลายว่าเป็นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจำนวน ๑๐ อย่าง อย่างไรก็ตาม อสุภะ ๕ อย่างใน ๑๐ อย่างนี้สอดคลองกับสัญญา ๕ อย่าง มีอัฏฐิกสัญญา เป็นต้น แต่การแบ่งประเภทของอสุภะแบบนี้ เป็นการแบ่งตามแบบของสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเราจะพบสมาธิที่เกี่ยวข้องกับซากศพ ๙ ขั้นตอน
ยังมีวิธีเจริญสมาธิอีก ๔ อย่าง ซึ่งควรนำมารวมไว้ในที่นี้ ได้แก่การเจริญสมาธิขั้น อรูปฌาน ซึ่งสอดคล้องกับวิโมกข์ที่ ๔ ที่ ๕  ที่ ๖ และที่ ๗ วิธีทั้ง ๔ อย่างนี้ ปรากฎในพระคัมภีร์ธรรมสังคิณีในลักษณะเป็นคู่กับฌานที่ ๔ ในการบรรลุอรูปฌานทั้งหลาย
ดังนั้น รายชื่อนี้จึงเป็นอารมณ์ของสมาธิในฌาน ๓๗ อย่าง คือ อารมณ์ ๓๓ อย่าง ในรูปฌาน และอารมณ์ ๔ อย่างในอรูปฌาน
๓. อารมณ์ของสมาธิที่ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์เถระได้กล่าวถึง อารมณ์ของสมาธิไว้ ๔๐ อย่างเรียกว่า กัมมัฏฐาน แบ่งเป็น ๗ หมวด ดังนี้
๑. กสิณ ๑๐
๒. อสุภะ ๑๐
๓. อนุสสติ ๑๐
๔. พรหมวิหาร ๔
๕. อรูปฌาน ๔ ได้แก่
๕.๑ อากาสานัญจายตนะ (กำหนดว่าอากาศไม่มีที่สิ้นสุด)
๕.๒ วิญญาณัญจายตนะ (กำหนดว่าวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด)
๕.๓ อากิญจัญญายตนะ (กำหนดว่าไม่มีสิ่งใดเลย)
๕.๔ เนวสัญญานาสัญญายตนะ (กำหนดว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีสัญญา ก็ไม่เชิง)
๖. อาหาเรปฏิกูลสัญญา การหมายรู้ความน่าเกลียดในอาหาร
๗. จตุธาตุววัฎฐานะ การวิเคราะห์ธาตุ ๔ อย่าง
ลักษณะเด่นของรายชื่อนี้ได้แก่หมวดที่กล่าวถึงกสิณ พระพุทธโฆษาจารย์เถระได้ นำเอาอาโลกกสิณมาแทนวิญญาณกสิณ และได้ขยายอากาศกสิณเป็นปริจฉันนากาศ คือ อากาศที่มีขอบเขตจำกัด
ในการอธิบายเรื่องกสิณ ซึ่งพบในพระคัมภีร์มโนรถปรณี พระพุทธโฆษาจารย์เถระ พยายามอธิบายถึงเหตุผลที่ท่านยกเว้นวิญญาณกสิณ และนำเอาอากาศกสิณมาใช้แทน
พระพุทธโฆษาจารย์เถระกำหนดว่า อาโลกสัญญาซึ่งเป็นคำเดียวที่ปรากฎในนิกายทั้งหลายนั้นได้แก่ กสิณ นั้นเอง และท่านยังถือว่า อาหาเรปฏิกูลสัญญาก็เป็นรูปแบบการฝึกสมาธิแบบหนึ่ง
ในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านอธิบายจตุธาตุววัฎฐานะไว้โดยย่อ แต่ท่านกล่าวสูตรต่อไป นี้โดยละเอียด คือ มหาหัตถิปโทปมสูตร, มหาราหุโลวาทสูตร และธาตุวิภังคสูตร  แต่ดูเหมือนท่านจะนำมาจากมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งท่านไม่ได้กล่าวถึงอย่างพิสดารในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
พระพุทธโฆษาจารย์เถระกล่าวว่า วิโมกข์และอภิภายตนะไม่ใช่วิธีที่แยกจากกัน และอภิปรายข้อธรรมทั้งสองนี้ไว้ในพระคัมภีร์อรรถสาลินีว่าเป็นวิธี ๒ อย่าง ซึ่งเป็นส่วนเสริม กสิณที่กำหนดสี ๔ อย่าง รายละเอียดเรื่องนี้จะกล่าวถึงในภายหลัง
ในการอธิบายคำว่า “วิปัสสนา” โดยใช้ชื่อว่า “ปัญญาภาวนา” พระพุทธโฆษาจารย์ เถระได้ให้รายละเอียดของวิสุทธิทั้ง ๕ ไว้ในฐานะเป็นหนทางเจริญวิปัสสนา วิสุทธิ ๒ ข้อแรก ท่านอธิบายไว้ว่าเป็นการฝึกฝนตนเองในศีลและสมาธิตามลำดับ ในขณะที่อธิบายวิสุทธิที่ ๖ คือความบริสุทธิ์แห่งมรรค พระพุทธโฆษาจารย์เถระได้แสดงถึงวิปัสสนา ๙ อย่าง เป็นรูปแบบ ดังต่อไปนี้
๑. อุทยวยานุปัสสนาญาณ คือ ความรู้เรื่องการเกิดและดับของสังขารทั้งหลาย
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ความรู้เรื่องการดับของสังขารทั้งหลาย
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ความรู้เรื่องความปรากฎแห่งความกลัวในสังขารทั้งหลาย
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ความรู้เรื่องโทษของสังขารทั้งหลาย
๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ คือ ความรู้เรื่องความน่าเบื่อหน่ายของสังขารทั้งหลาย
๖. มุญจิตกัมยตาญาณ คือ ความรู้เรื่องความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากสังขารทั้งหลาย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ ความรู้เรื่องการวิเคราะห์สังขารทั้งหลาย เพื่อความหลุดพ้นจากสังขารทั้งหลายนั้น
๘. สังขารุเปกขาญาณ คือ ความรู้เรื่องความวางเฉยต่อสังขารทั้งหลาย
๙. อนุโลมญาณ คือ ความรู้ซึ่งเกิดเกี่ยวเนื่องกับอริยสัจทั้ง ๔
(ความจริง มีวิปัสสนาญาณ ๑๐ ชนิดด้วยกัน และชนิดที่ ๑๐ได้แก่ ญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์แห่งความรู้และความเห็นในพระนิพพาน ท่านอธิบายเรื่องนี้เป็นเอกเทศ โดยอ้างถึง โลกุตตรกุศล คำเหล่านี้ท่านอธิบายไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นงานของ พระสารีบุตรเถระ ว่าเป็นส่วนของอภิญญาณ รูปแบบที่ให้ไว้ในที่นี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค เพราะยังไม่เคยมีในหมวดใดในคัมภีร์ก่อนๆ  ผู้อ่านจะพบคำขยายความเรื่องนี้ในภายหลัง)
วิธีเหล่านี้เป็นวิธีพื้นฐาน ซึ่งพบในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ในคำขยายความของท่าน พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวไว้ด้วยว่า กัมมัฏฐานมีทั้งหมด ๓๘ ประการ ซึ่งเป็นจำนวนที่พบในภาษาบาลี แต่ไม่พบรายละเอียดของกัมมัฏฐานเหล่านี้ เราพบว่าในพระคัมภีร์ พระธรรมลังคิณี ท่านไม่ได้กล่าวถึงกสิณ ๒ อย่างสุดท้ายในบรรดากสิณ ๑๐ ไว้เลย  ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าเมื่อท่านตัดกสิณ ๒ อย่างนี้ออกไปแล้ว จึงเหลือกัมมัฏฐานเพียง ๓๘ เท่านั้น แต่จำนวนกัมมัฏฐาน ๔๐ อย่าง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว และกัมมัฏฐาน เหล่านี้ก็เป็นวิธีที่ตรง และเป็นพื้นฐานในการฝึกสมาธิตามที่กล่าวไว้ในนิกายเถรวาท
หนังสือที่สำคัญต่อไปในเรื่องนี่คือหนังสืออภิธรรมสังคหะ คือประมวลปรัชญา ซึ่งพระอนุรุทธเถระแต่งขึ้น ซึ่งที่ว่า “ประมวลปรัชญา” นี้ นาย เอส.  แซท อ่อง และ ดร.  ริส เดวิดส์ แปลออกมาและสมาคมบาลีปกรณ์พิมพ์เผยแพร่ หนังสือเล่มนี้เมื่อกล่าวถึงสมถะ และวิปัสสนา ได้กล่าวถึงจำนวนกัมมัฏฐานจำนวนเดียวกันในตอนที่ว่าด้วยสมาธิ และกล่าวถึงวิสุทธิ ๗ และ วิปัสสนาญาณ ๑๐ ในตอนที่ว่าด้วยวิปัสสนา วิปัสสนาญาณ ๑๐ อย่าง มีสัมมสนญาณ ความรู้ในการใคร่ครวญถึงลักษณะของสังขารทั้งหลาย เป็นต้น ในด้านอื่นๆ ทั้งหมด หนังสือเล่มนี้ ดำเนินตามแนวที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
๔. เนื้อหาสาระที่พบในหนังสือรุ่นหลัง
ในบรรดาหนังสือยุคหลังที่กล่าวถึงสมาธิ หนังสือ วิทรฺศนาโปตะ ซึ่งเป็นภาษาสิงหล กล่าวถึงการฝึกสมาธิตามที่พระเถระชาวลังกาถือปฏิบัติกันอยู่ ได้ให้เนื้อหาสาระอย่างเดียวกับ ที่พบในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค  แต่จัดลำดับค่อนข้างจะต่างออกไป และใช้ถ้อยคำต่างกัน
๑. อานาปานัสสติ
๒. กสิณ ๑๐ (๔ อย่างแรกเรียกว่า ภูตกสิณ (กสิณธาตุต่าง ๆ) ที่เหลือเรียกว่า วัณณกสิณ (กสิณสีต่างๆ)
๓. อสุภะ ๑๐
๔. กายคตาสติ (แบ่งแยกออกเป็น ๓๒ ส่วน ซึ่งทั้งหมดมีส่วนสัมพันธ์กับฌาน ๕)
๕. อนุสสติ ๑๐ (๒ อย่างสุดท้าย คือ เอกสัญญานุสสติ และเอกธาตุววัฎฐานาสุสสติ)
๖. อรูปฌาน ๔
๗. พรหมวิหาร ๔
ทั้ง ๗ หมวดนี้มีอารมณ์กัมมัฏฐาน ๔๐ อย่างด้วยกัน แต่กายคตาสติ แบ่งออกเป็น ๓๒ ส่วน จึงได้อารมณ์กัมมัฏฐานทั้งหมด ๗๑ อย่าง จุดเด่นพิเศษในการแบ่งเช่นนี้ ก็คือ อานาปานัสสติ ท่านวางไว้ก่อนอย่างอื่นทั้งหมด กายคตาสติท่านจัดเป็นวิธี ๓๒ วิธี และอารมณ์ ๒ อย่าง คือ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฎฐาน ท่านจัดเป็นอนุสสติ
ในหนังสือคู่มือนี้ วิปัสสนาญาณประการแรก ซึ่งปรากฎในหนังสือ “ประชุมปรัชญา”  ในนามว่า “สัมมสนญาณ” ท่านเปลี่ยนเป็น “สมถทรรศนญาณ  ซึ่งได้แก่วิปัสสนาญาณใน สมถะ ไม่มีชื่ออย่างอื่นนอกจากนี้
อารมณ์กัมมัฏฐานเหล่านี้ ซึ่งจะพบได้ในระบบการเจริญสมาธิที่กว้าง เกือบจะไม่มี ขอบเขตจำกัด เพราะท่านนำมาใช้ตามความเหมาะสมสำหรับสภาพจิตแบบต่างๆ ของผู้ปฏิบัติ ต่อไปนี้จะกล่าวถึงภารเจริญภาวนา และลักษณะต่างๆ ของอารมณ์กัมมัฏฐานที่สำคัญตามที่ปรากฎในพระคัมภีร์พระไตรปิฎก พรัอมกับอ้างถึงคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ และหนังสือคู่มือพระโยคาวจร ซึ่งเป็นหนังสือที่จะขาดเสียมิได้ในที่นี้
สารบัญ

No comments:

Post a Comment