Wednesday, September 28, 2016

บทที่ ๑๒ เวลาและอิริยาบถสำหรับการเจริญสมาธิ



บทที่ ๑๒
เวลาและอิริยาบถสำหรับการเจริญสมาธิ
Image from wikipedia
จิตทำงานอย่างมีประสีทธิภาพในระบบที่จัดไว้อย่างดีเช่นเดียวกับกาย และระเบียบ สำหรับจิต เช่น สมาธิจำเป็นจะต้องยึดอยู่กับนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่เจริญสมาธิ ยิ่งกว่านั้น ในขอบข่ายของสมาธิแม้แต่คนงานที่ทำงานหนัก และมีความสุขุมก็จะต้องปรับเวลา ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ เพื่อการฝึกจิตของตนในขั้นต้นแห่งการอบรมบ่มนิสัย เพราะบุคคลผู้ ทำงานอย่างต่อเนื่องและมีความอุตสาหะขยันหมั่นเพียรจะได้บรรลุถึงเป้าหมายในการฝึกจิตได้อย่างง่ายตาย
เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการเจริญสมาธิมี ๓ คือเวลารุ่งอรุณ เวลาเที่ยงวันและเวลาพระอาทิตย์ตกดิน และเมื่อพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวของโบราณาจารย์ ทั้งหลายแล้ว เวลาทั้ง ๓ นี้เป็นที่ยอมรับกันว่าเหมาะสมที่สุด ชั่วโมงแห่งรุ่งอรุณเป็นเวลา ที่ดีที่สุดในบรรดาเวลาทั้ง ๓ นี้   ด้วยเหตุผลหลายประการ ชั่วโมงนี้ท่านเรียกว่า “พฺรหฺมมุหูรฺต” ซึ่งหมายถึงขณะที่ประเสริฐและเป็นเวลาแห่งการตื่นขึ้นซึ่งมีสติปัญญา ซึ่งเป็น ความจริงที่จะเห็นได้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่ามั่น ในแง่ของร่างกายย่อมมีฃ้อได้ เปรียบพอสมควรในการสงวนชั่วโมงต้นๆ ของวันไว้เพื่อการฝึกฝนสติปัญญา โดยปกติชั่วโมงนี้ เป็นเวลาที่ร่างกาย มีความสงบเงียบและสมองมีความสดชื่น หลังจากได้พักผ่อนมาตลอดคืน ดังนั้น จึงพอจะได้รับความแจ่มใสภายในจิตอันจะให้จิตก้าวหน้าไปตามแนวแห่งสมาธิได้
แต่ถ้าพระสาวกพบว่าไม่เหมาะสมที่จะเจริญสมาธิในตอนรุ่งอรุณด้วยสาเหตุอันใดก็ตาม เขาควรเลือกเวลาเที่ยงวัน เวลาเที่ยงวันนี้ท่านกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าเหมาะสมสำหรับพระสงฆ์สาวก เช่น ข้อความว่า “หลังจากฉันภัตตาหาร เมื่อเขากลับจากรับบิณฑบาต พระสาวก นั่งสมาธิตัวตรง ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า”
ดังนั้น จึงเป็นธรรมเนียมสำหรับพระภิกษุที่จะเริ่มการเจริญสมาธิหลังจากฉันภัตตาหาร เพื่อว่าจะได้มีเวลาเจริญสมาธิสืบต่อไปอีกเป็นเวลานานโดยไม่มีสิ่งรบกวน  ถ้าพระภิกษุอาศัยอยู่ในอาราม เขาจะต้องปฏิบัติตามกฎทางพระวินัย และต้องปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ทางศาสนารวม ถึงการไปรับบิณฑบาตก่อนเที่ยงวัน หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้วและทำธุรกิจต่างๆ แล้ว ควรนั่งเจริญสมาธิ พระคัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวว่าพระสาวกควรปล่อยให้เวลาผ่านไป ๑ ชั่วโมง หลังจากฉันภัตตาหารก่อนที่จะเจริญสมาธิ เพื่อจะได้ไม่ถูกความง่วงเหงาหาวนอน หรือความเมาอาหารครอบงำ นักปฏิบัติบางคนเชื่อว่าเวลาเที่ยงวันเป็นช่วงเวลาที่มีพลังที่สุด เพราะเป็นยอดของวัน ซึ่งพลังแห่งจักรวาลไปถึงจุดสูงสุดของมัน ด้วยเหตุผลนี้ เวลาเที่ยงวันจึงได้รับเลือกว่าเป็นช่วงเวลาที่จะประสานความคิดกับพลังแห่งจักรวาล 
เวลาช่วงเย็นซึ่งเป็นเวลาเชื่อมโยงระหว่างเวลากลางวันกับเวลากลางคืนนั้น ท่านก็จัดเป็นช่วงเวลาที่มีพลังสำหรับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา พลังธรรมชาติซึ่งมีมากขึ้นจาก เช้าถึงเที่ยงวันและลดถอยลงเที่ยงวันถึงเที่ยงคืนนั้น  จะไม่มีอะไรเลยนอกจากจะอยู่ในสถานที่ ต้องพักผ่อน เมื่อค่ำคืนช่วงเวลานี้ให้บรรยากาศที่สงบ ซึ่งอาจจะมีอยู่นานกว่าในตอนเช้า และการเจริญสมาธิที่เริ่มในเวลานี้จะมีสืบต่อไปอย่างนิ่งแน่เป็นเวลานานจนสร้างผลอันยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งนี้เพราะว่าความสงบทางร่างกายย่อมนำมาซึ่งความมีใจเป็นหนึ่งคือสมาธิ
แต่พระสาวกผู้กระตือรือร้นที่จะบรรลุจุดประสงค์ ในการดำรงชีพประกอบด้วยธรรม ควรฝึกฝนต่อไปทั้งวัน โดยไม่คำนึงถึงช่วงเวลาพิเศษเฉพาะ ดังเราจะพบข้อความต่อไปนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายต้องฝึกฝนตนเองให้ตื่นอยู่เสมอในเวลากลางวัน จงทำจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากนิวรณ์ โดยการนั่งหรือเดินจงกรม ในปฐมยาม จงทำจิตให้บริสุทธิ์จาก นิวรณ์โดยการนั่งหรือเดินจงกรม ในมัชฌิมยาม จงนอนแบบสีหไสยาสน์ คือตะแคงด้านขวา เท้าซ้อนกัน มีสติ และสำรวมตนเอง กำหนดชั่วโมงที่จะตื่นไว้ในจิต และในปัจฉิมยาม  เมื่อตื่นขึ้นแล้ว จงทำจิตของตนให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ โดยการนั่งหรือเดินจงกรม  ดังนั้นเธอจงฝึกฝนตนเองให้ตื่นอยู่เสมอ
วิธีการฝึกตนแบบนี้ย่อมประกันได้ว่าพระสาวกจะปฏิบัติธรรมได้อย่างสม่ำเสมอ และในขณะเดียวกันจะได้รับการพักผ่อนที่จะเพียงพอให้ร่างกายสดชื่นการฝึกดังกล่าวนี้สามารถ ควบคุมการนอนหลับ และความเซื่องซึมแห่งระบบประสาท ซึ่งนี้เองเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ด้วยการฝึกแบบนี้เรียกว่า “ชาคาริยานุโยค” หมายถึงการ ประกอบตนเองให้ตื่นอยู่เสมอ
อิริยาบถ
อิริยาบถ ตามปกติของผู้ประพฤติพรต คือการนั่งสมาธิ และพระพุทธเจ้าทรงใช้อิริยาบถนี้  เมื่อพระองค์ได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้น อิริยาบถคือการนั่งขัดสมาธิ จึงถือว่าเป็นอิริยาบถซึ่งให้วิถีทางที่บุคคลสามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้ คำภาษาสันสฤตได้แก่ “พุทฺธาสน” อิริยาบถของพระพุทธเจ้า หรือ “วชิราสน” แปลว่า “บัลลังก์เพชร” พระพุทธเจ้าได้รบชนะมารบนบังลังก์นี้ ในพระไตรปิฎก ท่านอธิบายด้วยข้อความดังนี้ “ปลฺลงกํ อาภุชิตฺวา อุชํ กายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สติ อุปฏฐเปตฺวา” เขาทั้งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ตั้งสติไว้ เฉพาะหน้า ข้อความในพระอรรถกถาว่า คำว่า “ปลฺลงฺก” หมายถึง “อุรุพุทฺธาสน” ได้แก่อิริยาบถ ซึ่งมีขึ้นเมื่อบุคคลนั่งขัดสมาธิอิริยาบถนี้จะพบได้ในพระพุทธรูปนั่งซึ่งเรียกในภาษาสิงหลว่า สมาธิ ปิลิมะ” คือพระพุทธรูปปางสมาธิ
เมื่อถืออิริยาบถนี้ เท้าขวาจะอยู่บนเท้าซ้าย เท้าทั้งสองจะอยู่บนเข่าทั้งสอง นิ้วเท้าจะหงายขึ้น มือทั้งสองจะอยู่ใต้ระดับของสะดือ ซึ่งข้อมือทั้งสองที่งอจะกดเข่าทั้งสอง และ ยึดส่วนบนของร่างกาย แนวกระดูกสันหลังจะตั้งตรงดุจกองเหรียญกษาปณ์ซ้อนกัน กะบังลมในท้องจะแผ่ขยายอย่างเต็มที่ คางจะเชิดขึ้น สายตาจะจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก หรือทอดตรงไปข้างหน้า ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่า “ปริผขํ สติ อุปฏฐปตฺวา ซึ่งแปลว่า “ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า”
อิริยาบถนี้ท่านเสนอแนะไว้ในข้อความในทีฆนิกาย เพื่อในการเจริญสมาธิ และในการ เจริญอานาปานัสสติก็จำเป็นจะต้องถืออิริยาบถนี้ เพราะถ้าไม่ใช้ ผู้ปฏิบัติจะไม่สามารถกำหนด ลมหายใจเข้าออกว่าเป็นภาพของสมาธิ ซึ่งปรากฏในจิตตามปกติได้  ดังนั้น อิริยาบถนี้จึงมี ความสัมพันธ์กับการเจริญสมาธิอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์มัชฌิมนิกายท่านแนะนำให้เลือกอิริยาบถคือการเดินจงกรม
พระคัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวว่า พระสาวกผู้เจริญกรรมฐานโดยกำหนดกสิณ ควรนั่งบนเก้าอี้เล็กๆ ที่จัดไว้สะดวกสะบายในขณะเพ่งกสิณ เมื่อกำหนดอารมณ์ทางจิตได้แล้ว เขาอาจ เจริญสมาธิในอิริยาบถใดๆ ก็ได้ ซึ่งสะดวกสำหรับเขาและจะช่วยให้เขาอยู่นิ่งๆ ได้เป็นเวลานาน โดยไม่มีความลำบากทางกายแต่อย่างใด ในการเจริญอสุภกรรมฐาน พระสาวกจะต้องนั่งหรือ ยืนเพ่งอารมณ์ทรงอสุภกรรมฐานนั้น และหลังจากได้ภายในจิตแล้ว เขาอาจเจริญต่อไปด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่งได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีกฎตายตัววางไว้สำหรับเวลา และอิริยาบถในการเจริญกรรมฐาน พระสาวกย่อมมีอิสระที่จะเลือกเวลาและอิริยาบถใดๆ ก็ได้ ซึ่งเป็นที่สะดวกสำหรับเขา แต่เขาจะต้องยึดแผนปฏิบัติที่แน่นอนตั้งแต่เริ่มต้นแห่งการฝึกฝนอบรมจิตของเขา

No comments:

Post a Comment