บทที่ ๘
การแสวงหาเพื่อนหรือครู
วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นมรดกตกทอดมาจากพระพุทธเจ้า และพระอริยสาวกของพระองค์และอานิสงส์แห่งการได้รับคำสอนและการสนับสนุนจากครูก็ได้รับการเน้นอยู่เป็นประจำ ดังนั้นการคบมิตรซึ่งเรียกว่ากัลยาณมิตร จึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพระสาวกผู้เจริญสมาธิ เพื่อนที่เรียกว่า“กัลยาณมิตร” นั้น จะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติ ต่อไปนี้“น่ารัก, น่าเคารพ และน่าบูชา เป็นที่ปรึกษา และเป็นผู้ทนฟังคำพูดผู้อื่นได้ เป็นผู้เจรจาอย่างสุขุม และเป็นผู้ที่จะไม่นำไปสู่จุดมุ่งหมายที่ไร้ประโยชน์”
พระคัมภีร์ทั้งหลายอธิบายไว้ว่า การสมาคมกับกัลยาณมิตรมีผลอานิสงส์มากตามที่ ตรัสไว้ในพระคัมภีร์สังยุตตนิกาย เราจะพบว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของนักบวช ขึ้นอยู่ กับกัลยาณมิตรเป็นส่วนใหญ่
“ดูก่อนอานนท์ แน่ละ เพราะการเข้ามาหาตถาคตในฐานะเป็นกัลยาณมิตร มนุษย์ทั้งหลายผู้มีความทุกข์ ซึ่งเกิดมาจากการเกิด ย่อมมีความสุข ปราศจากการเกิด ปราศจากความแก่ ปราศจากความตาย”
ข้อความข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้า พระองค์เองทรงเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นมีธรรมเนียมว่า พระพุทธเจ้าจะทรงประทานกัมมัฏฐานที่เหมาะสมกับจริตแก่พระสาวกแต่ละองค์ และภายหลังจะทรงถามเขาเกี่ยวกับกัมมัฏฐานนั้น ต่อมาจึงกลายเป็นแนวปฏิบัติสำหรับศิษย์ผู้จะรับกัมมัฏฐานจากอาจารย์คนหนึ่ง ๆ
พระมหาราหุโลวาทสูตรกล่าวถึงวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำพระโอรสของพระองค์ คือพระราหุล เกี่ยวกับกัมมัฏฐานแบบต่างๆ เช่นการวิเคราะห์ธาตุทั้ง ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ความมัวหมอง และ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน แต่อาจารย์ของพระราหุล คือพระสารีบุตรทรงแนะนำให้พระราหุลปฏิบัติอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ในเมฆิยสูตรซึ่งกล่าวถึงบทบาท ซึ่งสหายคนหนึ่งสามารถแสดงนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำวิธีปฏิบัติสมาธิแบบต่างๆ แก่พระเมฆิยะ ซึ่งมีลักษณะเหมาะที่สุดกับจริตของเขา
พระเมฆิยะได้รับพระพุทธานุญาตให้ใปบิณฑบาตในหมู่บ้านชันตุ ในขณะเดินทางกลับ ได้พบสวนมะม่วงที่น่ารื่นรมย์ใกล้ๆ กับแม่น้ำแห่งหนึ่ง และทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะไปเจริญสมาธิที่นั้นได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้รอจนกว่าจะพบเพื่อนพระภิกษุผู้ปรารถนาจะไปที่นั้นด้วย แต่หลังจากพระเมฆิยะทูลขอ ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต พระเมฆิยะไปที่นั้นและทั้งเจริญสมาธิใต้ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง แต่พระเมฆิยะรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบความคิดชั่ว เกิดขึ้นในจิตอย่างไม่ขาดสาย พระเมฆิยะจึงกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลถึงความล้มเหลวในการเจริญสมาธิ พระพุทธเจ้าจึงทรงอธิบายเหตุผลว่า ผู้มีจิตยังไม่ได้รับการฝึกอย่างเพียงพอที่จะบรรลุถึงความหลุดพ้น จะต้องมีสิ่งทั้ง ๕ ต่อไปนี้ในเบื้องต้น คือ
๑. กัลยาณมิตร (ผู้ที่จะคอยแนะนำว่าจะปฏิบัติสมาธิอย่างไร)
๒. ความบริสุทธิ์แห่งศีลในระดับสูง
๓. การปรึกษาหารือที่สมควร ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่พระนิพพาน
๔. การรวบรวมพลังเพื่อ เลิก ละ ความคิดชั่ว
๕. การได้รับความรู้ซึ่งจะนำไปสู่วิปัสสนา
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายต่อไปว่า ผู้ที่มีข้อแรก คือกัลยาณมิตรจะสามารถมี ๔ ข้อที่เหลือในไม่ช้า และว่าหลังจากมีสิ่งจำเป็นเบื้องต้นเหล่านี้แล้ว พระสาวกควรปฏิบัติ อสุภกัมมัฏฐาน เมตตา, อานาปานัสสติ และอนิจจสัญญา เพื่อที่จะขจัดเสียซึ่ง ตัณหา ความเกลียดชัง ความเร่าร้อน และความคิดที่ว่าทุกอย่างถาวรตามลำดับ พระเมฆิยะ หลังจากได้รับคำแนะนำนี้จากพระพุทธเจ้า ได้เจริญสมาธิและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในเรื่องนี้และในเหตุการณ์อื่นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับศิษย์ที่จะต้องได้รับ กัมมัฏฐานจากอาจารย์ผู้สามารถพิจารณาสภาพจิตและนิสัยของศิษย์นั้นๆ ได้เลือกกัมมัฏฐานที่เหมาะสม และอธิบายวิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานได้
สำหรับผู้เริ่มต้น โดยเฉพาะการสมาคมกับอาจารย์ เป็นส่วนสนับสนุนที่จะขาดเสียมิได้ เพราะความสำเร็จโดยตรงจากการเจริญสมาธิส่วนใหญ่ เนื่องมาจากอาจารย์ผู้สามารถเป็นมัคคุเทสก์ในการไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส ดังนั้นศิษย์ควรได้รับการอบรมเบื้องต้นให้สมบูรณ์บริบูรณ์ก่อน แล้วควรเข้าไปหากัลยาณมิตร คืออาจารย์ผู้มีคุณสมบัติที่กล่าวไว้ข้างบนนี้ และขอรับกัมมัฏฐานจากอาจารย์นั้น
คำอธิบายเรื่องนี้ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งมีบันทึกย่อดังต่อไปนี้ ในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระกัมมัฏฐานที่ได้รับจากอาจารย์นั้นถือว่าได้รับมาอย่างดี แต่เพราะเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เราจึงควรรับพระกัมมัฏฐานจากพระอรหันต์ และ จากพระอรหันต์ผู้ได้บรรลุฌานที่ ๔ และที่ ๕ โดยวิธีเจริญพระกัมมัฏฐาน และ จากผู้ได้บรรลุพระอรหันต์ โดยการเจริญวิปัสสนาบนพี้นฐานคือฌาน ถ้าไม่มีบุคคลเช่นนั้น เราควรไปหาบุคคลต่อไปนี้ตามลำดับคือ พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน เมื่อไม่มีบุคคลเหล่านี้
เราควรไปหาผู้ที่ได้บรรลุฌานแล้ว หรือ ไปหาอาจารย์ผู้รู้พระไตรปิฎก ปิฎก ๒หรือ แม้ปิฎกเดียว เมื่อไม่สามารถพบบุคคลเช่นนั้น เราควรไปหาบุคคลผู้สามารถท่องจำนิกายหนึ่งในบรรดา นิกายทั้งหลายพร้อมด้วยอรรถกถาของนิกายนั้น และบุคคลผู้คู่ควรแก่ความนับถือ ผู้อยู่บนเส้นทางแห่งความเจริญ
ถ้าบุคคลเช่นนั้นอยู่ในอารามเดียวกันโดยบังเอิญก็เป็นการดียิ่ง ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เราควรไปแสวงหาเขา ศิษย์ควรใช้ชีวิตอยู่ในอารามที่พบอาจารย์เช่นนั้นเป็นเวลาหลายวัน และหลังจากทำหน้าที่ของศิษย์ต่ออาจารย์แล้ว เขาควรขอพระกัมมัฏฐานจากอาจารย์ผู้มีลักษณะนิสัย เหมาะสมที่สุดนั้น
จริต ๖
พระคัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ จริตหรือลักษณะนิสัยของมนุษยชาติ มี ๖ ชนิด คือ๑. ราคจริต ลักษณะนิสัยที่โน้มน้อมไปในเรื่องรัก
๒. โทสจริต ลักษณะนิสัยที่โน้มน้อมไปในเรื่องโกรธ
๓. โมหจริต ลักษณะนิสัยที่โน้มน้อมไปในเรื่องหลง
๔. สัทธาจริต ลักษณะนิสัยที่โน้มน้อมไปในเรื่องความเชื่อ
๕. พุทธจริต ลักษณะนิสัยที่โน้มน้อมไปในเรื่องความรู้
๖. วิตกจริต ลักษณะนิสัยที่โน้มน้อมไปในเรื่องความกังวล
แม้ว่าจะมีความโน้มน้อมแห่งจิตหลากหลาย อันเนื่องมาจากธรรมชาติที่ผสมผสาน แห่งภาวะทางจิต แต่จริต ๖ ชนิดนี้ท่านกล่าวว่าเด่นชัดที่สุด
พระคัมภีร์อรรถกถาทั้งหลายอธิบายว่า จริตของบุคคลหนึ่งๆ คือการแสดงออกของความรู้สึกทางจิตของเขา และเป็นสิ่งที่กรรมในอดีตชาติและสภาพของร่างกายของเขากำหนดขึ้น อนึ่งมนุษยชาติย่อมมีอารมณ์ต่างกัน ซึ่งจะพิจารณาได้จากความแตกต่างทางผิว สภาพทางภูมิศาสตร์ และ สภาพดินฟ้าอากาศ จริตของแต่ละคนย่อมมีหลายชนิดฉันใด วิธีที่จะปฏิบัติกัมมัฏฐานก็ย่อมมีหลายชนิดฉันนั้น ดังนั้นอาจารย์กัมมัฏฐานควรจะพิจารณาถึงจริตของศิษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และแล้วควรเลือกกัมมัฏฐานให้เหมาะสมกับจริตของศิษย์ผู้นั้น ต่อไปนี้เป็นลักษณะสำคัญบางอย่าง ซึ่งช่วยให้บุคคลตัดสินได้ว่าบุคคลหนึ่งๆ เป็นคนมีราคจริต หรือโทสจริต หรือจริตใดๆ ก็ตามเท่าที่จะมีได้
๑. วิธีหนึ่งที่จะสามารถคาดคะเนจริตของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็คือการสังเกตอย่างใก้ลชิดถึง อิริยาบถ และการเคลื่อนไหวของเขา คือ ลักษณะการเดิน, ยืน, นั่ง และนอน ของเขา
ในเรื่องนี้จะพบว่าคนที่มีราคจริตท่านกล่าวว่าโดยธรรมชาติจะเป็นคนมีท่าทางนิ่มนวล เขาก้าวเดินเบาๆ และสม่ำเสมอ รอยเท้าของเขาจะแหว่งตรงกันในท่ามกลาง คือจะมีที่ว่างในรอยเท้าของเขาระหว่างส้นเท้าและส่วนหน้าของฝ่าเท้า เท้าของเขาจะกลวง ข้างล่าง และมีหลังเท้าสูง
ผู้ที่เดินเหมือนกับขุดด้วยนิ้วเท้า วางเท้าลงอย่างเร็ว และยกขึ้นในทันทีที่ท่านกล่าวว่า เป็นคนมีโทสจริต รอยเท้าของเขาจะแสดงให้เห็นเครื่องหมายยาวเป็นทางเหมือนลากเท้าเมื่อวางเท้าลง
บุคคลผู้มีความโน้มน้อมในความหลงเดินไปด้วยท่าทางที่อุ้ยอ้าย วางเท้าเหมือนกับว่า มีความตกใจ เท้าของเขามีรอยเท้าที่บ่งบอกว่ารีบเร่งลักษณะเหล่านี้ ท่านสรุปไว้ใน พระคัมภีร์ปปัญญจสูทนี ตอนมาคันธิยสูตร ดังนี้
“ผู้มีราคจริตมีรอยเท้าที่แหว่งในท่านกลางนี้ในการยืน ผู้มีราคจริตเป็นคนมีเสน่ห์ และสุภาพเรียบร้อย ผู้ที่มีโทสจริตและไม่เป็น มิตรมีลักษณะแข็งทื่อ ผู้ที่มีโมหจริตมีลักษณะไม่เรียบร้อย ลักษณะเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนี้ จะสังเกตได้ในอิริยาบทนั่งด้วย ในการนอนหลับผู้มีราคจริตจะจัดเตรียมที่นอนอย่างเรียบร้อย และค่อยนอนลง เขาจะหลับในลักษณะที่สงบ มีแขนขานิ่งสงบ เมื่อตอนนอนจะไม่ลุกขึ้นในทันทีทันใด เมื่อมีคนถามจะตอบอย่างสุภาพเหมือนเต็มใจตอบ ผู้มีโทสจริตจัดเตรียมที่นอนแบบใดแบบหนึ่งและ ในลักษณะที่รีบด่วน เขานอนด้วยร่างกายที่เกร็ง และ ไม่อยู่ในลักษณะ พักผ่อนในขณะตื่น เขาลุกขึ้นอย่างรีบเร่ง และตอบคำถามเหมือนคนกำลังโกรธผู้อื่นอยู่ ผู้มีโมหจริต จัดเตรียมที่นอนอย่างไม่มีระเบียบ นอนด้วยร่างกายที่กางแขนกางขา ส่วนมากคว่ำหน้าลง และเมื่อตื่น เขาจะลุกขึ้นด้วยอาการบิดขี้เกียจ กล่าวพึมพำแสดงความไม่ห้อใจ
ผู้มีโทสจริตมีรอยเท้าเป็นทางๆ ไปข้างหลัง
รอยเท้าของผู้มีโมหจริตเป็นรอยเท้าที่เหยียบอย่างเร็ว
ผู้ที่เปิดม่านคือกิเลสเสียได้ ย่อมมีรอยเท้าสม่ำเสมอเช่นนี้”
เกี่ยวกับลักษณะนิสัย ๓ อย่างที่เหลือจากที่กล่าวแล้ว ควรกล่าวไว้ในที่นี้ว่าในการแสดงออกภายนอก ศรัทธาจริตมีลักษณะเหมือนราคจริต, พุทธจริต มีลักษณะเหมือนโทสจริต, วิตกจริตมีลักษณะเหมือนโมหจริต ดังนั้นจริตเหล่านี้อาจค้นพบได้โดยใช้วิธีสังเกตคล้ายๆ กัน และเปรียบเทียบผลกับผลของจริตที่กล่าวแล้วข้างบนนั้น
๒. วิธีที่สองที่จะแยกแยะจริตเหล่านี้ ก็คือการสังเกตลักษณะอาการซึ่งบุคคลกระทำ ทางกาย เช่น การชำระร่างกาย การกวาดบ้านเรือน หรือการแต่งตัว ผู้ที่มีราคจริตย่อมกระทำการต่างๆ อย่างมีศิลปะ เมื่อเขาทำความสะอาดห้องของเขาหรือบริเวณอาราม เขาย่อมกวาดอย่างเรียบร้อยและด้วยความระมัดระวัง กวาดอย่างทั่วถึงด้วยไม้กวาดที่สม่ำเสมอ ผู้ที่มีโทสจริต ย่อมทำงานอย่างคร่าวๆ และด้วยความสะเพร่า ทำไม้กวาดให้มีเสียงดังคนโง่และหลงงมงาย กวาดอย่างแปลกประหลาด ไม่สม่ำเสมอ หมุนกลับทางโนั้นทีทางนั้นที และมีขยะเหลืออยู่ข้าง หลัง ในทำนองเดียวกัน ความแตกต่างเหล่านี้ปรากฎชัดเจนในงานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดหรือซักฟอก การย้อมเสื้อผ้า หรืองานอื่นใดก็ตาม ไ
กล่าวโดยทั่วๆ ไป บุคคลผู้มีราคจริตเป็นคนทำงานที่มีความชำนาญ สะอาดเรียบร้อย และรอบคอบ บุคคลผู้มีอารมณ์ร้อนเป็นคนทำงานอย่างหยาบๆ ส่งเสียงดังและเกรี้ยวกราด บุคคลผู้มีโมหจริตและโง่ เป็นคนทำงานที่ไม่มีความชำนาญ งุ่มง่ามและไม่เรียบร้อย
ลักษณะการสวมเสื้อผ้าก็แสดงให้เห็นร่องรอยแห่ง ลักษณะนิสัยของบุคคลได้ คนมีราคจริตสวมเสื้อผ้าไม่รัดตัวเกินไป หรือไม่หลวมเกินไป แต่ไม่อยู่ในลักษณะที่น่ารื่นรมย์ประณีตมีรสนิยม คนมีโทสจริตสวมเสื้อผ้าคับเกินไปและไม่มีลวดลาย คนที่มีโมหจริตสวมเสื้อผ้าหลวมและไม่เรียบร้อย สำหรับคนที่มีจริตอื่นๆ ที่เหลือ ๓ อย่างคือ ศรัทธาจริต พุทธจริต และวิตกจริต ก็พึงเปรียบเทียบกับจริตที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้
๓. วิธีที่ ๓ มีว่า เราอาจสังเกตความแตกต่างแห่งลักษณะนิสัยจากการเลือกอาหาร และ อาการรับประทานอาหาร โดยธรรมชาติแล้วคนที่มีราคจริตมักชอบอาหารเบาๆ อาหารที่มีรสหวาน ซึ่งหุงต้มอย่างดีและเสริฟอย่างหรูหรา และเขารับประทานอย่างสุภาพและช้าๆ เพลินในรส และ รับประทานเพียงปริมาณน้อยในครั้งหนึ่งๆ เขายินดีในอาหารซึ่งมีรสโอชา คนที่มีอารมณ์ร้อนมีโทสจริตชอบอาหารที่หยาบซึ่งมีรสเปรี้ยว, เผ็ดร้อน และจัด และเขารับประทานอย่างรีบเร่งเต็มปาก โดยไม่ชื่นชมในรสอาหาร แต่เขาไม่ชอบอาหารที่ไม่มีรสเด่นชัด และไม่พอใจอาหารนั้น บุคคลที่มีโมหจริต ไม่นิยมรสใดๆ โดยเฉพาะ และชอบอาหารใดๆ ก็ตามที่บังเอิญเกิดมีขึ้น เขารับประทานโดยปราศจากบรรยากาศ โดยใส่อาหาร ๑ คำใหญ่ๆ เข้าปากและเคี้ยวอาหารนั้น
๔. วิธีที่ ๔ มีว่า ลักษณะนิสัยของบุคคลทั้งหลายอาจตัดสินกันได้จากปฏิกิริยาตอบสนองเครื่องเร้าประสาทสัมผัสของเขา คนที่มีราคจริต เมื่อเห็นวัตถุที่น่ารื่นรมย์ จะจ้องมองวัตถุนั้นเป็นเวลานานเหมือนจะชมเชยมัน ถูกคุณภาพของวัตถุนั้นดึงดูด แม้ว่าจะเป็นของไม่สำคัญก็ตาม แต่เขาจะมองไม่เห็นโทษของมันเลย เมื่อจะจากสิ่งนั้นไป เขาจะเกิดความเสียใจ คนที่มีโทสจริตเมื่อเห็นวัตถุสิ่งหนึ่งจะไม่สนใจมัน และจะหนีมันไปในไม่ช้า เขาจะมองเห็นโทษ แม้นิดหน่อยและมองข้ามคุณค่าของมันไป คนที่มีโมหจริต ไม่มีรสนิยมที่เด่นชัดของตนเอง เกี่ยวกับเครื่องยั่วยุทั้งหลายเขาฟังความเห็นของผู้อื่นและตำหนิหรือชมตามเขาไป เขาไม่มีความสนใจที่แท้จริงเพราะขาดความรู้ เรื่องนี้เป็นจริงสำหรับบุคคลแต่ละคนในเรื่องอายตนะอื่นๆ เช่น การฟังเสียงและดมกลิ่น เป็นต้น จริตอื่นๆ ที่เหลือ ๓ ชนิดก็สามารถพิจารณาได้ โดยการเปรียบเทียบกับจริตที่กล่าวแล้ว
๕. วิธีที่ ๕ มีว่า จริตทั้งหมดเหล่านี้ย่อมแสดงตนเองให้ปรากฎในสภาพของจริต ซึ่งมีอำนาจเหนือหรือสูงกว่า ซึ่งเราอาจหาข้อสรุปต่างๆ ได้จากสภาพจิตเหล่านี้
ในจิตของผู้ที่มีราคจริตอาจมีสภาพธรรมต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ การเสแสร้ง, การหลอกลวง ความหยิ่ง ความปรารถนาลามก ความโลภ ความไม่พอใจ กิเลสตัณหา และความตลกคนองต่างๆ
ในจิตของ ผู้ที่มีโทสจริต อาจมีสภาพธรรมต่อไปนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ ความโกรธ, ความพยาบาท, ความอกตัญญู, การแข่งดี, ความริษยา, และ ความเลวทรามต่ำช้า
ในจิตของผู้มีโมหจริต อาจมีสภาพธรรมต่อไปนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ ความหดหู่, ความท้อแท้, ความรำคาญ, ความโศกเศร้า, ความพิศวงงงงวย, ความดื้อด้าน และความหวงแหน
ในจิตของผู้มี ศรัทธาจริตอาจมีสภาพธรรมต่อไปนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ ความเป็นคนมีใจโอบอ้อมอารี, ความเป็นคนใจบุญ, ความปรารถนาจะพบผู้ปฏิบัติธรรม, ความปรารถนาจะฟังธรรม, ความร่าเริง, ความจริงใจ, ความซื่อสัตย์,
ความเชื่อและความเสียสละเพื่อศาสนา
ในจิตของผู้มีพุทธิจริต อาจมีสภาพธรรมต่อไปนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ ความสุภาพเรียบร้อย, มิตรภาพอันดี, ความรู้จักประมาณ, ความมีสติ, ความสำรวม ตนเอง และความตื่นอยู่เสมอ เขารู้สึกอ่อนไหวอย่างมากเมื่อมีความว่างเปล่า และเมื่อชาวโลกมีความเศร้าโศก แต่ในขณะที่เขาพิจารณาอย่างฉลาดเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เขาย่อมมีความพยายามที่ถูกต้องเพื่อบรรลุความหลุดพ้น
สภาพธรรมเหล่านี้ย่อมปรากฎอย่างเด่นชัดในผู้ที่มีจิตฟุ้งซ่าน คือความเป็นคนช่างพูด, ความปรารถนาเมื่อสมาคมกับผู้อื่น การไม่สมาทานศีลเป็นประจำ ความไม่มั่นคงในการทำงาน และความไม่มีสมาธิ
ที่กล่าวมานี้เป็นข้อสังเกตทั่วๆ ไป ซึ่งจะช่วยให้บุคคลกำหนดอารมณ์ของศิษย์แต่ละคนจากลักษณะนิสัยภายนอก แต่ก็ควรคาดหวังว่าจะมีความหลากหลาย เนื่องจากสิ่งที่เกิดพร้อมกับจิตมีมากหลายหลากชนิด เฉพาะผู้ที่มีความสามารถในการพิจารณาความคิดของบุคคลอื่นเท่าทั้นที่จะสามารถรู้ตำแหน่งที่แท้จริงของศิษย์ของตน และ สอนกัมมัฏฐานที่เหมาะสมที่สุดแก่ศิษย์นั้น ผู้ที่ไม่มีความรู้เช่นนั้น ควรสังเกตลักษณะนิสัยเด่นๆ เหล่านี้ แล้วถามศิษย์ของตนเกี่ยวกับอารมณ์ของเขา อาจารย์ผู้สามารถพิจารณานิสัยใจคอของศิษย์ของตน โดยอาศัยความสามารถในการอ่านจิตใจของผู้อื่น หรือ โดยการสอบถามเขาและเฝ้าดูกิจกรรมต่างๆ ของเขา ควรเลือกกัมมัฏฐานที่เหมาะสมสำหรับเขาจากกัมมัฏฐานทั้งหมด ๔๐ ประเภท
สารบัญ
No comments:
Post a Comment