Tuesday, August 16, 2016

บทที่ ๙ การเลือกกัมมัฏฐาน



บทที่ ๙
การเลือกกัมมัฏฐาน
จากพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคเราได้ทราบว่าทรรศนะ ๑๐ อย่าง วิธี ๑๐ วิธี ซึ่งช่วยให้เข้าใจกัมมัฏฐานได้คือ จำนวน, สมาธิ, ฌาน, การก้าวล่วง, การขยาย, วัตถุ, ภูมิ, การปฏิบัติ, สาเหตุ, และลักษณะนิสัยที่ควร
ความรู้อย่างทะลุปรุโปร่งในเรื่องอารมณ์ของกัมมัฏฐาน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักศึกษาทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เลือกเส้นทางแห่งสมาธิภาวนา เพื่อบรรลุถึงความหลุดพ้น  ผู้ปฏิบัติจะได้มาซึ่งความรู้ที่จำเป็นนี้ โดยการศึกษากัมมัฏฐานเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิบัติไปตามวิธีทั้ง ๑๐ ที่กล่าวแล้ว และถึงแม้ว่าจะไม่พบอาจารย์ที่เหมาะสมและมีความชำนาญก็ตาม  การศึกษาของเขานั้นเองจะอยู่ในฐานเป็นอาจารย์คนหนึ่งการอธิบายโดยละเอียดซึ่งอารมณ์ของกัมมัฏฐานจะพบได้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งจากพระคัมภีร์นี้จะได้คำอธิบายย่อๆ ดังต่อไปนี้
๑. โดยการนับจำนวน
อารมณ์กัมมัฏฐาน มี ๔๐ อย่าง ซึ่งท่านจัดไว้เป็น ๗ กลุ่ม คือ
๑. กสิณ ๑๐ คือ ปฐวี (แผ่นดิน) อาโป (น้ำ) เตโช (ไฟ) วาโย (ลม) นีละ (สีเขียว) ปีตะ (สีเหลือง) โลหิตะ (สีแดง) โอทาตะ (สีขาว) อาโลกะ (แสงสว่าง) อากาส (ที่ว่าง)
๒. อสุภะ ๑๐ คือ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด, ซากศพที่มีสีเขียว, ซากศพที่มี น้ำเหลืองไหลเยิ้มตามรอยที่แตก, ซากศพที่ขาดจากกันเป็น ๒ ท่อน, ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว, ซากศพที่กระจุยกระจายไป ซากศพที่ถูกฟันปั่นทอนเป็นท่อนๆ, ซากศพที่มีโลหิตไหล ซากศพที่มีหนอน ซากศพที่ยังเหลือแต่ร่างกระดูก
๓. อนุสสติ ๑๐ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า, การระลึกถึงพระธรรม, การระลึกถึงพระสงฆ์, การระลึกถึงศีล, การระลึกถึงการบริจาค, การระลึกถึงเทวดา, การระลึกถึงความตาย, การระลึกถึงร่างกาย, การระลึกถึงการหายใจ, การระลึกถึงความสงบ
๔. พรหมวิหาร ๔ : เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา
๕. อรูปฌาน ๔ : อากาสานัญจายตนะ (อากาศไม่มีที่สิ้นสุด) วิญญาณัญจายตนะ (วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด) อากิญจัญญายตนะ (ความไม่มีอะไร) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (จะว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ จะว่าหาวิญญาณมิได้ก็ไม่เชิง)
๖. อาหาเรปฏิกูลสัญญา = ความสำคัญรู้ในเรื่องความปฏิกูลน่าเกลียดแห่งอาหาร
๗.  จตุธาตุววัฏฐานะ = การกำหนดธาตุ ๔
๒. โดยการเจริญสมาธิ
อารมณ์ของกัมมัฏฐานมี ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ช่วยให้เกิดเพียง อุปจารสมาธิ (สมาธิที่ไม่แน่วแน่) และประเภทที่ช่วยให้เกิดทั้งอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ (สมาธิที่แน่วแน่)ในบรรดาอารมณ์กัมมัฏฐาน ๔๐ อย่างนั้น ๑๐ อย่างสามารถก่อให้เกิดเพียง อุปจารสมาธิ คือสมาธิที่ไม่แน่วแน่เท่านั้น อารมณ์กัมมัฏฐาน ๑๐ อย่าง เหล่านี้ได้แก่ อนุสสติ ๘ อย่างแรก อาหาเรปฏิกูลสัญญา และธาตุววัฎฐานะ อารมณ์กัมมัฏฐานที่เหลือ ๓๐ อย่าง ช่วยให้เกิด อัปปนาสมาธิ คือสมาธิในฌาน
๓. โดยวิธีการเจริญฌาน
อารมณ์กัมมัฏฐาน ๑๑ อย่าง อานาปานัสสติ (สติกำหนดลมหายใจเข้าออก) และกสิณ ๑๐ ช่วยให้เกิดรูปฌานทุกอย่างทั้งในระบบฌาน ๔ และในระบบฌาน ๕ อารมณ์กัมมัฏฐานที่ เหลืออื่นๆ คือ กายคตานุสสติ คือการระลึกถึงกายอย่างไม่ขาดสาย และอสุภะ คืออารมณ์ที่ไม่บริสุทธิ์ ย่อมสามารถทำให้ปฐมฌานอย่างเดียวเกิดขึ้น พรหมวิหาร ๓ อย่างแรก คือ เมตตา กรุณา และมุทิตา เป็นทางให้บรรลุฌาน ๓ เบื้องต้น คือปฐมฌาน ทุติยฌาน และ ตติยฌาน ส่วนพรหมวิหาร ข้อ ๔ คือ อุเบกขาเป็นทางให้บรรลุจตุตถฌาน สภาวธรรมที่ปราศจากรูป ๔ อย่างย่อมเป็นทางให้บรรลุอรูปฌาน ๔
๔. โดยวิธีการผ่านพ้น
เมื่อพิจารณาในลักษณะนี้ วิสัยกัมมัฏฐานมี ๒ ประเภท คือวิสัยที่ผ่านพ้นองค์ฌาน และวิสัยที่ผ่านพ้นอารมณ์ วิสัยที่สามารถก่อให้เกิดฌาน ๓ หรือ ฌาน ๔ ย่อมผ่านพ้นองค์ฌาน และ ละฌานได้ตามลำดับ ในขณะที่ได้บรรลุฌานที่สูงขึ้น เพราะว่าด้วยการขจัดองค์ฌานขั้นต่ำ ได้เท่านั้น จึงจะบรรลุฌานขั้นสูงได้ ในกรณีของอรูปฌาน ๔ ผู้ปฏิบัติจะผ่านพ้นอารมณ์กัมมัฏฐานแต่ละอย่าง ด้วยการผ่านจากฌานหนึ่งไปสู่อีกฌานหนึ่งถัดไป ในวิสัยที่เหลือซึ่ง ๑๐ อย่าง ก่อให้เกิดเพียงอุปจารสมาธิ และวิสัยอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดเพียงปฐมฌานนั้นย่อมไม่มีการผ่านพ้น
๕. โดยวิธีการพัฒนา
ในบรรดาอารมณ์กัมมัฏฐาน ๔๐ อย่างนั้น ในกรณีของกสิณ ๑๐ เท่านั้น ที่ควรพัฒนาธรรมารมณ์ เพราะว่าเกี่ยวกับการบรรลุอิทธิฤทธิ์ ไม่ว่ากสิณนั้นจะแผ่ซ่านไปยังภูมิใด ผู้ปฏิบัติสามารถมีประสบการณ์ต่างๆ ภายในขอบเขตของภูมินั้นๆ คือสามารถได้ยินเสียง ซึ่งโดยปกติจะไม่ได้ยินด้วยอำนาจของหูทิพย์ สามารถเห็นรูปที่อยู่ห่างไกลด้วยอำนาจแห่งตาทิพย์ และสามารถรู้ภาวะแห่งจิตของผู้อื่นได้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ทางใจ ธรรมารมณ์ในอารมณ์กัมมัฏฐาน ที่เหลือ ๑ อย่าง ไม่จำเป็นต้องพัฒนา เพราะไม่มีประโยชน์ในการพัฒนา
๖. โดยวิธีการใช้นิมิต
ตามพระคัมภีร์อภิธรรมมัตถสังคหะ มีอารมณ์ ๓ อย่าง ซึ่งเรียกว่านิมิต คือเครื่องหมายได้แก่
๑. ปริกัมมนิมิต  เครื่องหมายเบื้องแรกแห่งการปฏิบัติ
๒. อุคคหนิมิต  มโนภาพหรือเครื่องหมายซึ่งพัฒนาเป็นจิตที่คล้ายกับจิตซึ่งเกิดขึ้นในนิมิตที่หนึ่ง
๓. ปฏิภาคนิมิต  นิมิตที่เกิดขึ้นจากมโนภาพ
ในขณะที่สมาธิพัฒนาไปสู่สภาพแห่งฌาน มีสมาธิ ๓ ขั้น สอดคล้องกับนิมิตเหล่านี้ นั่นก็คือปริกัมมสมาธิ (สมาธิเบื้องต้น) อุปจารสมาธิ (สมาธิที่ใกล้จะถึงฌาน) และอัปปนาสมาธิ (สมาธิในฌาน คือสมาธิที่เปลี่ยนสภาพของวิญญาณเป็นสภาพของฌาน)
อารมณ์กัมมัฏฐานแต่ละประเภทใน ๔๐ ประเภทนั้นในขั้นต้นต้องถือว่าเป็นปริกัมมนิมิต เพราะสร้างอารมณ์ที่แน่นอนให้แก่สมาธิ  เมื่อผู้ปฏิบัติเรียนรู้นิมิตนี้อย่างชัดแจ้ง เพื่อว่านิมิตนั้นจะปรากฎอยู่ในจิตเป็นมโนภาพ นิมิตนี้เรียกว่าอุคคหนิมิต นิมิตทั้งสองนี้เป็นอารมณ์ของปริกัมมสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิขั้นต้น
อุคคหนิมิตแห่งอารมณ์กัมมัฏฐาน ๒๒ อย่างคือ กสิณ๑๐ อสุภะ๑๐ กายคตาสติ๑ อานาปานัสสติ๑ ก่อให้เกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น อารมณ์กัมมัฏฐานที่เหลืออีก ๑๘ อย่างนั้นมีลักษณะที่ลึกซึ้งจนถึงกับว่าอารมณ์เหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดสัญลักษณ์แห่งปฏิภาคนิมิตได้ ในบรรดาอารมณ์กัมมัฏฐาน ๑๘ อย่างนั้นอารมณ์กัมมัฏฐาน ๑๒ อย่าง คืออนุสสติ ๘ อย่าง อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐานะ อากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองเป็นธรรมา-รมณ์ อารมณ์กัมมัฏฐาน ๖ อย่าง คือ พรหมวิหาร ๔ วิญญาณัญจายตนะ ๑ และอากิญจัญญายตนะ ๑ ไม่ชัดแจ้งพอที่จะทำให้สัญลักษณ์ หรือธรรมชาติที่แท้จริงของตนปรากฎเป็นธรรมารมณ์ได้  ทั้งนี้เพราะว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นคุณธรรมที่แสดงความรู้สึกชั้นสูง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งอารมณ์ คือสิ่งที่มีชีวิตซึ่งนับประมาณมิได้ ซึ่งผู้ปฏิบัติแผ่ไปถึง  ดังนั้นอารมณ์ทั้งหลายซึ่งนับประมาณมิได้นั้น ไม่สามารถปรากฎแจ่มแจ้งว่าเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นเครื่องแสดงให้ปรากฎอย่างใดอย่างหนึ่ง อรูปฌานที่ ๑ และที่ ๓ ยึดอารมณ์ที่ไม่ใช่วัตถุ คืออากาศและความว่างเปล่าตามลำดับ  ดังนั้นอรูปฌานทั้ง ๒ นี้ไม่สามารถเสนอสัญลักษณ์ หรือ ธรรม-ชาติที่แท้จริงในฐานะเป็นตัวแทนของจิตได้
ในบรรดาอารมณ์กัมมัฏฐาน ๔๐ เหล่านี้ อนุสสติ ๘ อย่างแรก อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน มีคุณสมบัติในตนเอง  ดังนั้นจึงไม่พัฒนาให้เป็นอัปปนา การปฏิบัติโดยยึดอารมณ์เหล่านี้ ก่อให้เกิดเฉพาะอุปจารสมาธิเท่า นั้นแต่สมาธิที่เหลือย่อมพัฒนาเป็นอุปปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
ดังนั้น อารมณ์กัมมัฏฐานทั้งหมด ๔๐ อย่าง สามารถก่อให้เกิดปริกรรมนิมิต, อุคคหนิมิต, ปริกรรมสมาธิ และอุปจารสมาธิ อารมณ์กัมมัฏฐานทั้งหมดจะก่อให้เกิดอัปปนาสมาธิ นอกจากอารมณ์ ๑๐ อย่างเท่านั้นที่ก่อให้เกิดเฉพาะอุปจารสมาธิ
๗. โดยทางภูมิภาคแห่งความเป็นอยู่
อารมณ์กัมมัฏฐาน ๑๒ อย่าง คือ อสุภะ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ และกายคตาสติ ๑ ย่อมไม่มีในเทวภูมิ อารมณ์เหล่านี้และอานาปานสติย่อมไม่มีในพรหมภูมิไม่มีอารมณ์ใดๆ มีในอรูปภูมิ นอกจากอรูปภูมิ ๔ เท่านั้น อารมณ์กัมมัฏฐานทั้งหมดนี้ย่อมมีใน มนุสสภูมิ
๘. โดยทางยึดถือ (คหณะ)
กสิณ ๙ ยกเว้นวาโยกสิณ และอสุภะ ๑๐ จะต้องยึดถือหรือปฏิบัติโดย จักขุนทรีย์ คือ ทางตา อารมณ์ของกายคตาสติจะต้องยึดถือหรือปฏิบัติโดยการเห็นและการได้ยิน อารมณ์ของอานาปานัสสติจะต้องปฏิบัติโดยการสัมผัสหรือความรู้สึก อารมณ์ของอากาสกสิณ จะต้องปฏิบัติทางการเห็นและการสัมผัส แต่อารมณ์ของกัมมัฏฐานที่เหลือ ๑๘ อย่าง จะต้องปฏิบัติทางการสัมผัส ผู้เริ่มปฏิบัติไม่ควรปฏิบัติอารมณ์ ๔ อย่าง คือ พรหมวิหารที่ ๔ (อุเบกขา) และอรูปภูมิ ๔ เพราะอารมณ์เหล่านี้ควรจะมาหลังจาก ตติยฌานและจตุตถฌานตามลำดับ
๙. โดยทางปัจจัย
กสิณ ๙ ยกเว้นอากาสกสิณสามารถก่อให้เกิดอรูปฌานได้ กสิณ ๑๐ ทุกอย่างนำไปสู่  อภิญญา คือความรู้ที่สูงขึ้นพร้อมด้วยการบรรลุผลที่เหนือธรรมดา พรหมวิหาร ๓ อย่างแรก ก่อให้เกิดพรหมวิหารที่ ๔ คือ อุเบกขา อรูปฌานชนิดหนึ่งย่อมก่อให้เกิดอรูปฌานถัดๆไปได้  จนกระทั่งได้บรรลุขั้นสูงสุด อรูปฌานชนิดที่มีชื่อว่า เนวสัญญาณาสัญญายตนะ เป็นพื้นฐาน แห่งการบรรลุผลที่เรียกว่า “นิโรธสมาบัติ” คือการดับโดยสิ้นเชิงแห่งเวทนาและสัญญาซึ่งจะบรรลุได้เฉพาะในสภาพแห่งพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี และขั้นพระอรหันต์ การเจริญสมาธิโดยอาศัยอารมณ์กัมมัฏฐานเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเหตุให้เกิด ความสุขในชีวิตปัจจุบัน ให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ที่บริบูรณ์ และการเกิดใหม่ที่มีความสุขจนกระทั่งได้บรรลุ พระนิพพาน
๑๐. โดยวิธีการปรับให้เหมาะสมกับจริต
อารมณ์กัมมัฏฐาน ๑๑ อย่าง คือ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ เหมาะสมสำหรับบุคคลผู้มีจาคจริต อารมณ์กัมมัฏฐาน ๘ อย่าง คือ พรหมวิหาร ๔ และกสิณสีต่างๆ ๔ อย่าง เหมาะสำหรับบุคคลผู้มีโทสจริต อานาปานสติ เหมาะสำหรับผู้มีโมหจริต อนุสสติ ๖ อย่างแรก เหมาะสมสำหรับผู้มีศรัทธาจริต อารมณ์กัมมัฏฐาน ๔ อย่างคือ มรณานุสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐานะ เหมาะสมสำหรับผู้มีพุทธจริต กสิณที่เหลือและ อรูปฌาน ๔ เหมาะสมสำหรับจริตทุกอย่าง การประเมินคุณค่าของอารมณ์กัมมัฏฐานทั้ง ๔๐ อย่าง ข้างบนนี้ได้ทำขึ้นเพื่อได้มาซี่งความเหมาะสมที่สุดสำหรับจริตของแต่ละบุคคล เพื่อกำหนดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง และธรรมชาติอย่างหนึ่งๆ ซึ่งขัดกับอารมณ์นั้นๆ ดังนั้น จึงมีการต่อต้านกับความโน้มน้อมที่ไม่น่าปรารถนา แต่อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่ว่าไม่มีอารมณ์กัมมัฏฐานข้อใดที่ไม่ทำจิตให้บริสุทธิ์จากราคะ โทสะ และโมหะ มีแต่จะพัฒนา ศรัทธา ความรู้ และความฉลาดให้เกิดมีขึ้น
ดังนั้น อารมณ์กัมมัฏฐานทั้ง ๔๐ เหล่านี้ ท่านจัดเป็นประเภทตามอำนาจของอารมณ์ เหล่านี้ เพื่อที่จะช่วยให้มีการพัฒนาทางจิตของแต่ละบุคคล ตาราง ๒ ตารางข้างล่างนี้ แสดง ให้เห็นตำแหน่งของอารมณ์เหล่านี้ในขอบเขตของสมาธิ

อุปจารสมาธิ


อัปปนาสมาธิ




รูปฌาน ๔



ฌานที่ ๑
ฌานที่ ๓
ฌานที่ ๔
อนุสสติ ๑-๖
กสิณ ๑๐


กสิณ ๑๐
มรณสติ
อสุภะ ๑๐
อสุภะ ๑๐

(ฌาน ๑-๔)
อุปสมานุสสติ
กายคตาสติ
กายคตาสติ


อาหาเรปฏิกูลสัญญา
อานาปานัสสติ


อานาปานัสสติ



(ฌาน ๑-๔)
จตุธาตุววัฏฐาน๑๐
พรหมวิหาร ๔
เมตตากรุณา
อุเบกขา


มุทิตา



(ฌานที่ ๑-๓)
ฌานที่ ๔



อรูปฌาน ๔


อรูปฌาน ๔
อากาสานัญจายตนะ




วิญาณัญจายตนะ

(๓๐)
อากิญจัญญายตนะ


เนวสัญญาณาสัญญายตนะ

ตารางที่ ๒
ตามวิถีทางแห่งจริตที่เหมาะสม
ราคจริต
โทสจริต
โมหจริต
สัทธาจริต
พุทธิจริต
สัพพจริต
อสุภะ๑๐
กายคตาสติ ๑
กสิณ ๔ :
นีลกสิณ
ปีตกสิณ
โลหิตกสิณ
โอทาตกสิณ
พรหมวิหาร ๔ :
เมตตา
กรุณา
มุทิตา
อุเบกขา
อานาปานัสสติ
อนุสสติ ๖ :
พุทธานุสสติ
ธัมมานุสสติ
สังฆานุสสติ
สีลานุสสติ
จาคานุสสติ
เทวดานุสสติ
มรณัสสติ
อุปสมานุสติ
อาหาเรปิฏกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน
กสิณ ๖ :
ปฐวี
อาโป
เตโช
วาโย
อากาส
อาโลก
อรูปฌาน ๔

ครูผู้สอนกัมมัฏฐานทั้ง ๒ อย่างเหล่านี้ ควรตรวจดูอารมณ์ของจิตและจริตของศิษย์ทั้งหลาย  ถ้าครูไม่มีความรู้ที่สามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้แล้ว เขาควรถามศิษย์ของตน ดังนี้ “คุณมีจริตอะไร คุณมีความโน้มเอียงไปทางใด อารมณ์กัมมัฏฐานประเภทใดเหมาะสม สำหรับคุณ คุณปรารถนาจะเจริญอารมณ์กัมมัฏฐานประเภทใด?”
หลังจากตรวจสอบจริตของผู้สมัครฝึกสมาธิโดยวิธีนี้แล้ว ครูควรเลือกอารมณ์กัมมัฏฐานที่เหมาะที่สุด และ สอนอารมณ์กัมมัฏฐานนั้นในวิธีหนึ่งใน ๓ วิธี ถ้านักเรียนเคยปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน ครูควรให้นักเรียนนั้นท่องสูตรสัก ๑ หรือ  ๒ จบ แล้วให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับสูตรนั้น ถ้านักเรียนอาศัยอยู่กับครู ครูควรให้คำแนะนำทุกโอกาส ถ้านักเรียนปรารถนาจะศึกษาอารมณ์กัมมัฏฐานแล้วไปที่อื่น ครูควรสอนอารมณ์กัมมัฏฐานนั้น อย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่นในการสอนปฐวีกสิณครูควรอธิบายกรรมฐานหมวดต่างๆ ๙หมวด คือ
 โทษแห่งกสิณ
 วิธีทำมณฑลกสิณ
 วิธีปฏิบัติกัมมัฏฐาน
 นิมิต ๒ อย่าง
 สมาธิ ๒ ระดับ
 ขั้นที่สมควรและไม่สมควร
 วสี (ความชำนาญ) ๑๐ อย่างในอัปปณา
 ความรู้จักประมาณในการปฏิบัติ
 วิธีการปฏิบัติให้มีอัปปณา
พระสาวกผู้ปฏิบัติควรศึกษาเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดก่อนเริ่มการปฏิบัติ
จากที่กล่าวแล้ว จะพบว่า หลังจากเข้าไปหาครูที่ดีผู้สามารถให้กัมมัฏฐานแล้ว ศิษย์ควรมอบตัวเองให้แก่พระพุทธเจ้าและแก่ครูของเขา และควรขอกัมมัฏฐานด้วยความตั้งใจ แนวแน่
กัมมัฏฐานที่จะปฏิบัติมี๒ อย่าง คือ กัมมัฏฐานที่มีประโยชน์สำหรับคนโดยทั่วๆ ไป และกัมมัฏฐานที่เหมาะสมกับจริตของปัจเจกชน เช่น เปมะ (ความรัก) มรณานุสสติ และอสุภสัญญาในร่างกายเป็นกัมมัฏฐานที่มีประโยชน์แก่ทุกคน และสามารถจะปฏิบัติพร้อมกับกัมมัฏฐานอื่นๆ ได้ กัมมัฏฐานเฉพาะอย่าง ซึ่งคัดเลือกมาปฏิบัติเพราะเหมาะสมกับจริต เฉพาะอย่างของแต่ละบุคคลเรียกว่า “ปาริหาริยะ” เพราะจะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็น ทางตรงนำไปสู่จุดหมายที่สูงขึ้น
เพื่อเป็นการประกันความสำเร็จ ผู้ปฏิบัติควรปฏิบัติตามอุดมการณ์ของพระโพธิสัตว์ ๖ ข้อ คือ ความคิดที่จะปลดเปลื้องจิตจาก ราคะ โทสะ และโมหะ ความปรารถนาที่จะสละ จากความสุขทางโลก มีความยินดีในวิเวก และออกจากสังสารวัฏ พระสาวกผู้ปรารถนาจะทำอุดมการณ์ทั้ง ๖ เหล่านี้ให้สมบูรณ์ จะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณด้วยตนเองในขั้นใดขั้นหนึ่งใน ๓ ขั้นเหล่านี้ คือ พระอรหันต์, พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพุทธภูมิอันสูงสุด

สารบัญ

No comments:

Post a Comment