บทที่ ๗
การตัดความกังวลทั้งปวง
![]() |
รูปภาพประกอบจาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/01/Paintings_of_Life_of_Gautama_Buddha_-_Asalha_Puja.jpg |
๑. อาวาสปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในที่อยู่
๒. กุลปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในตระกูล
๓. ลาภปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในลาภสักการะ
๔. คณปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในหมู่คณะ
๕. กัมมปลิโพธ ความกังวลห่วงใยกิจการงานต่างๆ
๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในการเดินทาง
๗. ญาติปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในเครือญาติ
๘. อาพาธปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในความป่วยไข้
๙. คัณถปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในการศึกษาเล่าเรียน
๑๐. อิทธิปลิโพธ ความกังวลห่วงใยในอิทธิฤทธิ์
๑.ที่อยู่
๑ ในบรรดาปลิโพธทั้ง ๑๐ นี้ อาวาสปลิโพธ หมายถึงความกังวลในที่อยู่อาศัย เช่น ห้องนอน, กุฏิ, หรือ วัดวาอารามในส่วนของพระภิกษุสงฆ์สามเณร และ บ้านเรือนในส่วนของฆราวาส ที่อยู่อาศัยท่านจัดเป็นความกังวล ถ้าเป็นเหตุแห่งความตกอกตกใจสำหรับผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ซึ่งทำให้เขามีภาระต้องรับผิดชอบ เช่นต้องไปบำรุงรักษาให้มันอยู่ในสภาพดี หรือ ถ้าเป็นวัตถุที่ก่อให้เกิดความยึดถือ หรือ ถ้ามันกระตุ้นให้สะสมของใช้ส่วนตัวชนิดต่างๆ ในการเจริญสมาธิจะต้องตัดการยึดถือเรื่องความสะดวกสบายในที่อยู่ทั้งหมดออกไป และในตอนเริ่มต้นต้องมีความสงบส่วนตัว และยอมขาดแคลนสิ่งจำเป็นบางอย่าง เรื่องนี้ท่านเน้นเสมอๆ ใน พระไตรปิฎก ‘‘พระโยคาวจรคำนึงว่า ในขณะที่อยู่ในบ้านเรือนซึ่งเต็มไปด้วยธุลีคือกิเลส การประพฤติพรหมจรรย์ คือ ชีวิตอันประเสริฐ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้น ไม่ง่ายนัก และพระโยคาวจรมุ่งหน้าเพื่อจะดำเนินชีวิตแบบไม่มีบ้านเรือนพร้อมกับโกนผมและหนวดเคราเสีย ไม่ใยดีต่อทรัพย์สินที่อาจมี และปลีกตัวออกจากญาติมิตรทั้งหลาย
นี้เป็นวิถีทางเข้าไปสู่ชีวิตที่มีการบำเพ็ญฌาน และการตัดความกังวลในเบื้องต้น จัดเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับความสำเร็จในการดำรงชีวิตทางพระพุทธ-ศาสนา พระสาวกในอดีตของ พระพุทธเจ้าส่วนมากอยู่อาศัยในที่อันสงบสงัด อยู่ในป่าใต้ต้นไม้ หรืออยู่ในถ้ำ สิ่งที่ท่านมีอยู่ก็ เพียงจีวร ๑ ตัว บาตร ๑ ใบ ซึ่งท่านนำไปด้วยทุกหนทุกแห่งที่ท่านไป เช่นเดียวกับหมู่วิหค ท่องเที่ยวไปด้วยปีกของตนทิ้งสิ่งต่างๆ ไว้ข้างหลัง ฉะนั้น
ที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่า สถาบันดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาสนับสนุนการต่อสู้ ธรรมชาติด้วยการทรมานตนเอง ซึ่งปรากฎมีอยู่ในระหว่างนักพรตทั้งหลายในยุคนั้น ปรากฎว่าความกระตือรือร้นของคนส่วนมากในการประพฤติพรหมจรรย์ได้ทำให้เขายินดีในความสันโดษ ซึ่งเขายึดปฏิบัติด้วยความมุ่งหมายที่จะระงับสิ่งกระตุ้นทั้งหลาย จิตที่สงบนั้นเองเป็นประโยชน์ อันเกิดจากชีวิตที่มีการบำเพ็ญฌาน สำหรับจิตของคนสามัญ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถดำรงชีวิตแบบนี้ได้ ถ้าปราศจากความเจ็บปวดและความทุกข์ แต่ความคิดเบื้องต้นก็เพื่อขจัดอุปสรรคทั้งหลายออกไปจากตนและได้รับประโยชน์อันจำเป็นแก่ความสำเร็จในการทำสมาธิ ไม่ใช่เพื่ออดทนต่อความทุกข์และการทรมานตนเองเพื่อล้างความผิด
ในพระคัมภีร์พุทธวงศ์ นักพรตชื่อสุเมธ (ผู้เป็นพระพุทธโคดมหลังจากเวลาอันยาวนานถึงสี่แสนมหากัลป์) ได้ออกจากบ้านเรือนอันหรูหราของตนและไปยังภูเขาธรรมกะในเทือก เขาหิมาลัย เพื่อปฏิบัติสมาธิ ณ ที่นั้น เขาพบกระท่อมหลังหนึ่งทำด้วยใบไม้ แต่เขารำพึงว่า มีโทษแห่งการอยู่ในบ้านอยู่ ๘ อย่าง แม้ว่าจะเล็กน้อยหรือเป็นธรรมดาอย่างไรก็ตาม โทษเหล่านั้นพระอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
๑. การพบและการสร้างบ้านเรือนก่อให้เกิดความลำบาก
๒. บ้านเรือนจะต้องซ่อมเสมอ
๓. จะต้องสละให้แก่พระเถระรูปใดๆ ก็ตามผู้มา แต่สมาธิจิตจะมีไม่ได้
เมื่อสมาธิของใครก็ตามมีส่วนจะถูกรบกวน
๔. บ้านเรือนทำให้ร่างกายอ่อนแอและแบบบาง โดยป้องกันไม่ให้ร่างกายถูกความหนาวร้อน
๕. บ้านเรือนให้โอกาสคนทำความชั่ว
๖. บ้านเรือนก่อให้เกิดความโลภ เพราะจิตจะคิดอยู่เสมอว่า “มันเป็นของฉัน”
๗. การอยู่ในบ้านเรือนเหมือนกับมีเพื่อนคอยก่อความลำบากให้ตน
๘. บ้านเรือนจะต้องมีสัตว์อื่นๆ มาร่วมอยู่อาศัย บ้านจึงเป็นที่รองรับสัตว์ ผู้ทำลายทั้งหลายและสิ่งอื่นทำนองนี้
ต่อไปเขาก็รำพึงถึงประโยชน์ ๑๐ ประการ ซึ่งเกิดจากการอยู่ภายใต้ต้นไม้ดังนี้
๑. สามารถจัดหาต้นไม้ได้โดยง่าย สิ่งที่จำเป็นก็คือจะต้องไปยังต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง
๒.ไม่ต้องเอาใจใส่มากนัก สามารถกวาดพื้นดินและทำให้เหมาะสมและใช้การได้
๓. ปราศจากสิ่งรบกวน
๔.ไม่ต้องมีสิ่งปิดบัง อันเป็นเหตุให้ทำความชั่วได้
๕. ร่างกายไม่ถูกแสงแดดในอากาศกลางแจ้ง แต่ก็เป็นที่กำบังบ้างพอสมควร
๖. ไม่มีความคิดที่จะเป็นเจ้าของ
๗. ความอยากอยู่ครองเรือนถูกตัดออกไป
๘. ไม่ต้องมีรั้ว จึงเหมือนกับบ้านที่คนอื่นก็สามารถมาอยู่ได้
๙. ผู้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ย่อมได้รับความสุขและความสันโดษ
๑๐. ผู้เจริญสมาธิจะพบต้นไม้ได้ทุกแห่งที่ไป จึงไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องที่อยู่อาศัย (ซึ่งเขาจะต้องกลับมาสู่ที่ๆ เคยครอบครองมาก่อน)
ดังนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
๑. “แล้วข้าพเจ้าก็ละทิ้งกระท่อมมุงด้วยใบไม้ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย ๔ประการ และก็เข้าไปหาโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งให้คุณธรรม ๑๐ ประการ”
๒. “ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้หว่านหรือปลูกพืชเพื่อใช้เป็นอาหารของข้าพเจ้า แต่ผลไม้ที่หล่นจากต้นไม้ให้ประโยชน์มากมายแก่ข้าพเจ้า”
๓. “ข้าพเจ้าบำเพ็ญเพียรฝึกสมาธิทั้ง ยืน และเดินไปมา ข้าพเจ้าได้บรรลุอภิญญาก่อนที่ ๗ วันจะผ่านไป”
ดังนั้น หลังจากพระพุทธเจ้าได้ทรงทราบถึงประโยชน์แห่งการเป็นอยู่แบบนี้ และได้ทรงบรรลุผลโดยตรงด้วยการใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว พระองค์จึงทรงประกาศว่า “ภิกษุทั้งหลาย การอยู่ที่โคนต้นไม้ เป็นชีวิตเรียบง่าย หาได้โดยง่ายและปราศจากการตำหนิใดๆ”
การบำเพ็ญสมาธิ ซึ่งเป็นความสำเร็จอันแท้จริงในการฝึกจิต จำเป็นจะต้องมีความพยายามอันแรงกล้าและความสงบสงัดเต็มที่ ห่างจากฝูงชนที่ส่งเสียงดังและไม่สงบ แต่แม้ว่า คำสอนเกี่ยวกับการฝึกเพื่อให้เกิดบัญญาเช่นนี้จะต้องมีหลักวินัยทางพุทธศาสนาด้วยก็ตาม แต่คำสอนเหล่านั่นก็ไม่เหนือความสามารถส่วนตัวของนักพรตเลย ทั้งไม่ผลิตผลที่เสียหายใดๆ ขึ้นมา
เพื่อเป็นประโยชน์แก่แต่ละบุคคล พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำที่อยู่อาศัยแบบต่างๆ เพื่อเป็นที่อยู่สำหรับผู้ปฏิบัติ และทรงอนุญาตให้ผู้มีศรัทธาสร้างวิหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ยิ่งกว่านั้น ได้ทรงวางกฎต่างๆ เป็นแนวทางสำหรับผู้อยู่ในวิหารนั้นๆ
พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า มิลินทะได้ทรงอภิปรายข้อโต้แย้งที่เด่นชัดนี้กับพระอรหันต์ พระนามว่านาคเสน และพระนาคเสนได้ตรัสข้อความต่อไปนี้ สัตว์ที่อยู่ในป่าไม่มีที่อยู่ของตนเองเป็นหลักแหล่ง มันกินอาหารในที่ต่างๆ และนอนหลับในที่ใดก็ตามที่มีอยู่ และพระสาวก ผู้มีศรัทธา จะต้องทำตนเป็นเหมือน สัตว์ในเรื่องนี้ แต่การสร้างวิหาร มีประโยชน์ ๒ ประการ คือ
๑. เป็นการกระทำที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ และผู้ที่ช่วย เหลือพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมโดยวิธีนี้จะได้บุญกุศลซึ่งช่วยให้เขาพ้นทุกข์ และช่วยให้ได้บรรลุพระนิพพาน
๒. เมื่อสร้างวิหารขึ้น ภิกษุณีทั้งหลาย ย่อม. มีโอกาสได้รับคำแนะนำจากพระภิกษุ ดังนั้น ผู้สร้างที่อยู่อาศัย ถวายพระสงฆ์ย่อมได้รับผลานิสงส์อย่างหนึ่ง แต่ผู้มีศรัทธาแก่กล้าไม่ประสงค์ จะมีที่อยู่เช่นนั้น
เมื่อพระภิกษุอาศัยอยู่ในที่อยู่ แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นประจำ พระภิกษุนั้นย่อมมีความโน้มเอียงในอันที่จะรักสถานที่นั้น แต่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานไว้แล้ว ความกังวลเรื่องที่อยู่อาศัยจะไม่เกิดขึ้นแก่เขาเลย
ในเรื่องนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้นิทานไว้ดังต่อไปนี้
“สหาย ๒ คน เข้ามาอุปสมบทที่วัดถูปารามใกล้ตัว เมืองอนุราธบุรี พระภิกษุรูปหนึ่ง ท่องจำ มาติกาทั้งสองได้ และหลังจากนั้นได้เดินทางไปอยู่ในป่าแห่งหนึ่งชื่อ ปาจีนขัณฑราชิ และอาศัยอยู่ที่นี้เป็นเวลานาน เพราะพบว่าที่อยู่นั้นทั้งป่ารื่นรมย์และสงัดเงียบ เหมาะสำหรับ เจริญสมาธิ ท่านจึง ตัดสินใจที่จะบอก เพื่อน ถึงประโยชน์ที่ตนเองด้รับ จึงออกเดินทางไม่นานก็ถึงวัดถูปาราม พระภิกษุเจ้าถิ่นผู้เป็นสหาย ซึ่งอาศัยอยู่ที่ถูปารามได้ต้อนรับท่านเป็นอย่างดี
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากการไปถึง พระภิกษุที่อยู่ป่า มีความเข้าใจ และคิดว่า “ประชาชนผู้อุปถัมภ์เพื่อนของข้าพเจ้าจะส่งข้าวยาคูและขนมมาถวาย เพราะสหายของข้าพเจ้า อยู่ในเมืองนี้มานาน” แต่ไม่มีสิ่ง ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเลย แล้วพระผู้อยู่ป่าก็คิด ต่อไปอีกว่า เพราะประชาชน ไม่ได้นำอาหารใดๆ มาถวายตนเอง และพระผู้เป็นสหายจะออกไปรับบิณฑบาตด้วยกัน ในเวลาที่สมควร พระสหายผู้อยู่ป่าได้ไปบิณฑบาตในเมืองพร้อมกับพระสหายที่อยู่ในเมือง ทั้งสองรูป ได้รับข้าวยาคูเพียงฟายมือหนึ่ง และทั้ง ๒ รูปได้ฉันข้าวยาคูนั้นในห้องโถง ในขณะนี้ พระผู้อยู่ป่า คิดว่าในเวลาฉันภัตตาหารจะมีผู้มาถวายอาหารดีๆ หลายอย่าง แต่อาหารที่พระ ภิกษุทั้งสองได้รับ เป็นเพียงอาหารเล็กๆ น้อยๆ และพระภิกษุผู้อยู่ป่ากล่าวว่า “อะไรหรือ ครับ” ท่านมีความเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดกาลหรือ? พระผู้อยู่ในเมืองตอบว่า “ครับ สหาย ผมมีความเป็นอยู่ เช่นนี้ตลอดกาล”
“การอยู่ในป่าของผมดีกว่า เราไปที่นั้นกันเถอะ”
พระภิกษุผู้อยู่ในเมือง ก็ออกเดินทางไปป่าทันที เมื่อพระภิกษุทั้งสองรูปไปถึงหมู่บ้าน ช่างหม้อแห่งหนึ่ง พระภิกษุผู้อยู่ป่าถามขึ้นว่า “ท่านจะไปทางนี้หรือ” คำตอบก็คือ “ครับ”
“ทำไมหนอ? ท่านอยู่ในเมืองใหญ่เป็นเวลานาน ท่านไม่มีสมบัติอะไรหรือ?”ไม่มีครับ เตียงที่ผมใช้อยู่ก็เป็นสงฆ์ และเขาก็จัดไว้อย่างดี ไม่มีอะไรอีกแล้ว
“แต่ท่านครับ ผมลืมไม้เท้า ภาชนะน้ำมันและถุงใส่รองเท้าไว้ที่วิหาร”
“สหาย ท่านมีของมากขนาดนั้นหรือหลังจากพักอยู่ที่นั้นเพียงคืนเดียว?”
อีกรูปหนึ่งผู้อยู่ป่าก็ตอบว่า “ครับ สำหรับผู้มีศรัทธาเช่นท่าน สถานที่ทุกแห่งเป็น เหมือนที่อยู่ในป่า ท่านควรอยู่ที่นี่” (ที่บ้าน) และรุ่งเช้า พระภิกษุผู้อยู่ป่าจึงกลับป่าเพียงรูปเดียว
ที่อยู่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับบุคคลเช่นนี้ แต่ถ้าพระสาวกผู้อยู่ในที่อยู่ประจำพบว่า มันเป็นอุปสรรคสำหรับการเจริญสมาธิของตน เขาต้องสละที่อยู่นั้น
๒. ครอบครัว
ครอบครัวหมายถึงเครือญาติหรือผู้อุปถัมภ์ค้ำชูทั้งหลาย พระสาวกผู้อยู่ใกล้ชิดกับ ครอบครัวของเครือญาติ หรือผู้อุปถัมภ์ของตน อาจพบว่าเครือญาติดังกล่าวเป็นอุปสรรค เพราะว่าพระสาวกมีความเกี่ยวข้องกับเครือญาติอย่างใกล้ชิด ถึงกับว่าเมื่อเครือญาติมีความสุขก็มีความสุขด้วย และเมื่อเครือญาติมีทุกข์ก็เป็นทุกข์ด้วย เมื่อไม่มืเครือญาติเหล่านั้น พระสาวกก็มักจะไม่ไปยังวัดวาอารามเพื่อฟังธรรม บุคคลเช่นนี้อาจประสบความลำบากในการดำเนินชีวิตแบบนักพรต ถ้าความผูกพันในครอบครัวกลายเป็นข้อผูกมัดสำหรับพระสาวกผู้ปฏิบัติสมาธิแล้ว เขาต้องปลีกตนออกจากข้อผูกมัดเช่นนั้น และต้องปลีกตนออกจากพระสาวก ซึ่งมีประวัติกล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังต่อไปนี้
แม้ว่าเขารับประทานอาหารเป็นเวลา ๓ เดือนในบ้านของมารดาผู้ให้กำเนิดแก่เขา แต่มารดาไม่ยอมรับว่าเขาเป็นบุตรของเธอ เพราะเขาไม่อยู่เสียเป็นเวลานาน และเขาอยู่ที่นั้นโดยไม่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรชายของคุณ คุณเป็นมารดาของข้าพเจ้า” ฝ่ายมารดา เมื่อทราบว่า เขาเป็นบุตรของตนจึงประณมมือด้วยความเคารพ แต่หันหน้าไปตามทิศที่เขาไปและอุทานขึ้นว่า “โอหนอ พระสาวกผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนการปฏิบัติธรรมตามที่ตรัส อธิบายไว้ในพระคัมภีร์รัตนาวลี ในนาลกสูตร ในตุวฎิกสูตรและในมหาอริยวงสสูตรก็เพื่อเป็น หลักฐานสำหรับพระภิกษุ เช่นบุตรของข้าพเจ้านี้เอง สิ่งในพระสูตรเหล่านี้ท่านได้อธิบายถึง ความสันโดษ เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ การไม่ยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ในโลก ความมีศรัทธาและความยินดีในการปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้น” แม้แต่มารดาบิดาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ บุคคลเช่น นั้น ยิ่งเป็นครอบครัวของญาติ และผู้มีอุปการคุณยิ่งน้อยมาก ข้อนี้มิได้หมายความว่า พระสาวกขาดความกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณแต่หมายความว่าพระสาวกเหล่านั้นมีความวางเฉย และมีชีวิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระโยคีย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นทุกหนทุกแห่ง
เขาสละทั้งสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา
ความโศกและความคร่ำครวญย่อมไม่ติดอยู่กับเขา
เหมือนน้ำไม่ติดอยูในใบบัว ฉะนั้น
๓. ลาภ
ปัจจัย ๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ และยารักษาโรค ท่านจัดไว้ภายใต้หัวข้อนี้ พระภิกษุสงฆ์จำนวนมากผู้มีชื่อเสียงและมีบุญ บางครั้งจะได้รับปัจจัย ๔ เหล่านี้ จำนวนมากมายจากผู้เลื่อมใสหรือจากทายกทายิกาทั้งหลาย ในการตอบสนองบุญคุณ และแสดงธรรมแก่คนเหล่านั้น พระสงฆ์จึงไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสมณะ บางครั้งอาจต้องใช้ เวลาทั้งวันในงานสังคม ในการรับนิมนต์และไปเยี่ยมเพื่อนๆ ลาภย่อมเป็นอุปสรรคสำหรับพระสาวกเช่นนี้ ดังนั้นพระสาวกควรละทิ้งกิจการด้านสังคมแล้วไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก พระพุทธ-เจ้าทรงแนะนำพระนาลกะผู้ตั้งปฏิญาณอันแรงกล้าที่จะปฏิบัติไว้ดังต่อไปนี้
“ให้พระสาวกออกบิณฑบาตในหมู่บ้านในเวลาเช้า อย่าเพลิดเพลินกับกิจนิมนต์ หรือในของที่ทายกทายิกาถวาย ขอให้พระโยคาวจรอย่าเข้าใกล้หมู่บ้าน จงเดินไปบิณฑบาตตามลำดับจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่ง อย่าพูด อย่าชี้บ่งสิ่งที่ตนต้องการ”
ดังนั้น พระสาวกควรตัดปลิโพธ คือความกังวลเรื่องลาภเสียสิ้น
๔. ร่างกายของผู้ปฏิบติ
ข้อนี้บ่งชี้ถึงผู้ปฎบัติ ซึ่งศึกษาพระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎก เพราะมี ธุระ ยุ่งอยู่กับการให้บทเรียนหรือคำถามในห้องเรียน พระภิกษุจึงไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติกัมมัฏฐาน ในที่สงบเงียบ โดยวิธีนี้การเอาใจใส่ชั้นเรียนของนักเรียนย่อมเป็นสิ่งก่อให้เกิดปลิโพธ ซึ่งจะต้องตัดความกังวลดังนี้ออกไป ตัวนักเรียนทั้งหลายได้เรียนไปมากแล้ว ยังเหลือที่จะต้อง สอนอีกไม่มาก พระภิกษุผู้นั้นจะต้องเรียนไปจนจบแล้วจึงดำรงชีวิตแบบสมณะ ถ้าสิ่งที่เรียนแล้วมีจำนวนน้อย แต่ที่จะต้องเรียนอีกมีมาก เขาควรแนะให้ครูคนอื่นซึ่งอยู่ในที่ไม่ไกลนัก ช่วย
เหลือให้บทเรียนแก่นักเรียนของตน ถ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เขาควรบอกนักเรียนทั้งหลายว่า “เพื่อนทั้งหลาย ฉันจะต้องทำงานบางอย่าง ฉันอนุญาตให้เธอทั้งหลายไปที่ใดก็ได้ตามความพอใจ”
ดังนี้ แล้วเขาควรทำงานของเขาเอง
๕. กิจกรรมต่างๆ
กิจกรรมต่างๆ ที่อ้างถึงในที่นี้เป็นภาระที่จำเป็นจะต้องทำ เช่นการซ่อมบำรุงวัดวาอารามและวิหาร และการสร้างอาคารใหม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้ จะต้องรู้ว่า ช่างไม้และ คนงานอื่นๆ ได้ทำงานที่ได้รับมอบหมายไปแล้วหรือยัง และเขาจะต้องยุ่งอยู่กับกิจกรรม น้อยใหญ่ ดังนั้น กิจกรรมเหล่านี้จึงเป็นปลิโพธที่เขาจะต้องตัดออกไป โดยท่านองดังนี้
ถ้างานที่จะต้องทำมีอยู่เล็กน้อย เขาควรควบคุมให้เสร็จสิ้นไป ถ้าปริมาณงานที่จะต้องทำอีก มีมาก และเป็นงานที่เกี่ยวกับสมบัติของสงฆ์ เขาควรมอบให้คณะสงฆ์หรือให้แก่พระภิกษุอื่นๆ ผู้ร้บผิดชอบ ถ้าเป็นธุระที่เกี่ยวข้องโดยตรง เขาควรมอบให้ผู้พิทักษ์ทรัพย์ ถ้าทำไม่ได้ดังนี้ เขาควรปล่อยให้เป็นภาระของสงฆ์ และตนเองก็ไปเสียจากที่นั้น
๖. การเดินทาง
ข้อนี้หมายถึงการเดินทางใดๆ ก็ตามที่จะต้องดำเนินการ บางทีอาจมีใครคนหนึ่ง รออยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเพื่อรับการอุปสมบท หรือเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร หรือใครคนหนึ่งจะ ต้องรับปัจจัยอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถจะทิ้งเสียได้ ในกรณีเช่นนี้ เขาควรไปทำธุระที่จะต้อง ทำให้เสร็จสิ้นไป แล้วก็ให้เวลากับการเจริญสมาธิด้วยความกระตือรือร้น
๗.ญาติพี่น้อง
ครู อุปัชฌาย์ที่อยู่ในสำนัก ศิษย์ของตนเอง และภิกษุทั้งหลาย จัดเป็นญาติพี่น้อง ของพระภิกษุในวัดวาอารามของตน ในเรือนย่อมหมายรวมถึงมารดา บิดา พี่น้อง เป็นต้น ถ้ามีการป่วยไข้เกิดขึ้นแก่ญาติเหล่านั้น ญาติเหล่านั่นก็เป็นปลิโพธสำหรับผู้ปฏิบัติ ดังนั้น พระสาวกควรตัดปลิโพธอันนี้ด้วยการดูแลญาติเหล่านั้น ทำให้เขาหายป่วยไข้ดีเป็นปกติ ถ้าอุปัชฌาย์ของตนอาพาธ และความอาพาธนั้นไม่สามารถเยียวยาได้ พระผู้เป็นศิษย์ก็ควร ดูแลพระอุปัชฌาย์ตลอดชีวิตของพระอุปัชฌาย์นั้น สำหรับครู, ศิษย์ที่อยู่ในสำนัก, ศิษย์ของ ตนเองและพระภิกษุทั้งหลายก็ควรปฏิบัติเช่นเดียวกันกับพระอุปัชฌาย์ มารดาบิดาควรได้รับ การปรนนิบัติเช่นเดียวกับพระอุปัชฌาย์ ถ้าท่านเหล่านั้นไม่มียารักษาโรค ก็ควรหามาให้ท่าน แต่สำหรับพี่น้องชายหญิง พระสาวกควรจัดยาให้เขารับประทาน ถ้าเขาเหล่านั้นไม่มียารักษาโรค เขาควรให้ยาของตนเองในเวลานั้น, หลังจากการหายไข้หรือหลังจากผู้ป่วยตาย พระสาวกควรไปเจริญสมาธิ
๘. ความป่วยไข้
ข้อนี้หมายถึงโรคใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นแก่พระสาวกเอง และก็เป็นปลิโพธอย่างหนึ่ง ควรตัดปลิโพธข้อนี้ออกโดยการฉันยา ถ้าอาการไมดีขึ้น พระสาวกควรแนะนำตนเองดังนี้ “ข้าพเจ้า ไม่ใช่ทาสของท่าน ทั้งไมใช่คนรับใช้ของท่าน ในการบำรุงรักษาท่าน ข้าพเจ้าได้รับความเจ็บ ปวดตลอดวัฎฎสงสารอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้” ดังนั้น ขอให้พระสาวกเจริญสมาธิ เช่นเดียวกับพระจักขุบาลเถระผู้ไม่สนใจกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในตาของตน และได้บรรลุพระอรหันต์ด้วยการพยายามอย่างแรงกล้าทั้งๆ ที่ตาบอด ท่านกล่าวกับตนเองว่า
“ตา หู ทั้งหมด มนุษย์เรียกกันผิดๆ ว่า “ข้าพเจ้า”“ของข้าพเจ้า”ทั้งหมดนี้ จงแตกสลายไปอย่างเร็ว นี่ปาละ ท่านจะรอข้าอยู่ทำไม?”
๙. การศึกษา
การศึกษาที่กล่าวถึงในที่นี้หมายถึงการศึกษาพระคัมภีร์พระไตรปิฎก การเอาใจใส่ เรียนและท่องบ่นบางสิ่งบางอย่างจัดเป็นปลิโพธอันหนึ่ง แต่การศึกษาไม่จัดเป็นปลิโพธ ในเรื่องนี้มีเรื่องเล่าไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังต่อไปนี้
พระเถระรูปหนึ่งนามว่าเทวะ ผู้ท่องจำพระคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ได้ไปหาพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อเดียวกัน และขอพระกัมมัฎฐานเพื่อเจริญสมาธิ พระเถระรูปนั้นถามว่า “คุณศึกษาพระสูตรใดในพระคัมภีร์พระไตรปิฎก? “ผมศึกษาพระคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ครับ”
“สหายเอ๋ย, พระคัมภีร์มัขฌิมนิกายเป็นคัมภีร์ที่ยาก ในขณะที่ศึกษาพระสูตร ๕๐ พระสูตรแรก ผู้ศึกษาจะต้องศึกษาพระสูตร ๕๐ พระสูตรถัดไปในขณะที่ศึกษาพระสูตรเหล่านี้ ผู้ศึกษาพระสูตร ๕๐ พระสูตร ชุดที่ ๓ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีเวลา ศึกษาพระกัมมัฎฐานที่ไหนเล่า”
“ท่านครับ หลังจากได้รับพระกัมมัฏฐานจากท่านแล้ว ผมจะไม่ศึกษาพระคัมภีร์อีกเลย” เขาได้รับพระกัมมัฏฐานและไม่ท่องบ่นพระคัมภีร์ แต่เจริญสมาธิ ๑๙ ปี และได้บรรลุ พระอรหันต์ในปีที่ยี่สิบ ท่านพระเถระกล่าวกับพระนักศึกษาที่มาเรียนว่า “เพื่อน ผมไม่ได้ ศึกษาพระคัมภีร์เป็นเวลา ๒๐ ปี แต่อย่างไรก็ตาม ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์มัชฌิมนิกาย” จาก ต้นจนจบพระสาวกองค์นั้นไม่มีความสงสัยเลย แม้พยัญชนะตัวเดียวเขาก็ไม่สงสัย
๑๐. อิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์ได้แก่ฤทธิ์ซึ่งได้รับโดยคนธรรมดาสามัญ (ปุถุชน) โดยอาศัยการเจริญ สมาธิ อิทธิฤทธิ์เหล่านี้เองขัดขวางการปฏิบัติวิปัสสนา ดังนั้นพระสาวกผู้ปฏิบัติวิปัสสนาควร เป็นอิสระจากอิทธิฤทธิ์เหล่านี้ และผู้เจริญสมาธิควรทำตนให้ปราศจากปลิโพธ ๙ อย่างที่ กล่าวมาแล้ว
สารบัญ
No comments:
Post a Comment