Sunday, October 23, 2016

บทที่ ๑๙ , อุปสมานุสสติภาวนา



บทที่ ๑๙
อุปสมานุสสติภาวนา 
การเจริญสมาธิโดยพิจารณาความสงบ
ตามที่ได้ศึกษามาแล้ว อุปสมานุสสติไม่ปรากฏเป็นเอกเทศในพระไตร ปิฎก นอกจากจะปรากฏอยู่ในรายชื่อที่ท่านให้ไว้ในฌานวรรคในอังคุตรนิกาย แต่ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านอธิบายไว้ว่าเป็นอารมณ์ของสมาธิ และท่านวางอุปสมานุสสติภาวนาไว้หลังอานาปานสติคำว่า “อุปสม” ท่านให้คำจำกัดความว่า “สพฺพทุกขอุปสม”  ซึ่งหมายถึงความสงบแห่งทุกข์ทั้งปวง คำนี้หมายถึงพระนิพ พาน ในความหมายที่ว่าเป็น “ความสงบที่แท้จริง” และคำว่า อุปสมานุสสติ หมาย ถึงการระลึกถึงลักษณะทุกอย่างของพระนิพพาน คำว่า อุปสม” เมื่อหมายถึงการ
ระลึกถึงความสงบย่อมประกอบด้วยสติที่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดตอน โดยเป็นอารมณ์ของพระนิพพาน , ความเป็นสมาธิของจิต และสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตที่คิดอารมณ์นั้น การปฏิบัติย่อมทำให้จิตสงบ และมีสันติตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเรียกว่าอุปสมานุสสติ หรือสมาธิอันเกิดจากการระลึกความสงบ
ท่านแนะนำว่า อุปสมานุสสติ เป็นกรรมฐานสำหรับพระสาวกผู้มีสติ ปัญญาเฉียบแหลม เช่นเดียวกับอนุสสติ ๖ อย่าง อุปสมานุสสตินี้จะทำให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้โดยพระสาวกผู้ได้บรรลุพระอริยมรรค เพราะพระสาวกเหล่านั้นได้รู้แจ้งอย่างแท้จริง  ซึ่งความสุขในพระนิพพานตามสัดส่วนของคุณธรรมที่ท่านได้บรรลุแต่อย่างไรก็ตาม  ผู้ที่ประสงค์จะมีความสงบและความเยือกเย็นในจิต ก็สามารถปฏิบัติอุปสมานุสสติกรรมฐานได้  เพราะว่าด้วยการเจริญสมาธิโดยพิจารณาความสงบนั้น จิตย่อมน้อมไปสู่การบรรลุความสงบและความเยือกเย็นได้  ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติซึ่งท่านอธิบายไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ
พระสาวกผู้ปรารถนาจะเจริญอุปสมานุสสติควรอยู่ในที่สงัด และเจริญสมาธิ โดยการพิจารณาถึงคุณลักษณะของพระนิพพานตามที่ท่านแสดงไว้ในพระบาลีดังต่อไปนี้
“ยาวตา ภิกฺขเว ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา วิราโค เตสํ ธมฺมานํ อคฺคมกุขายติ, ยทิทํ มทนิมฺมทโน; ปิปาสวินโย อาลยสมุคฺฆาโต วฏฏอุปจฺเฉโท ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธนิพฺพานํ”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ในบรรดาธรรมทั้งหลายทั้งที่ปัจจัยปรุงแต่ง และปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง วิราคะ(ความอิสระ)เป็นธรรมยอดเยี่ยม วิราคะคือการบรรเทาความมัวเมา การขจัดเสีย ซึ่งความกระหาย การตัดความอาลัย, การตัดขาดซึ่งวัฏสงสาร, การดับสิ้นตัณหา การคลายกำหนัด, การดับทุกข์ และพระนิพพาน”
พระสาวกควรเพ่งพิจารณาคุณลักษณะที่กล่าวแล้วนี้ของพระนิพพาน โดยเข้าใจอย่างถูกต้องถึงความหมายของคำต่างๆ คำซึ่งมีลักษณะเป็นไปในทางลบเมื่อพิจารณาถึงความหมายที่ลึกซึ้งเหล่านี้ มีความหมายในทางบวกตามที่ท่านสรุปไว้ในข้อความที่ว่า “การทำให้ความชั่วทุกอย่างระงับ” หมายถึง ความไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นความชั่วและเป็นความทุกข์ และความปรากฏมีอยู่แห่งทุก สิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นความดีและเป็นความสุข”
ในที่นี้คำว่า วิราคะ” ซึ่งท่านให้คำจำกัดความตามปกติว่า “ความไม่มีกิเลสหรือความไม่ยึดถือนั้น ไม่เป็นเพียงความไม่มีกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นความ หมายตามนิรุกติศาสตร์เท่านั้น แต่ควรเข้าใจด้วยว่า คำนี้หมายถึงสิ่งที่ปราศจากปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งได้แก่ความเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่นทางโลกทุกอย่างด้วย   อนึ่ง วิราคะนี้เป็นสภาพคือความหมดสิ้นไปแห่งดุจพินิจของปัจเจกชนซึ่งเกิดมาจากอนุสัยขั้นต่ำ เช่น ความหยิ่ง และ ความถือตัวพร้อมกับความทุกข์ทั้ง หลายซึ่งเกิดมาจากสภาพนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้   ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่า “มทนิมมทโน” คือการขจัดความมัวเมาเสียได้
เมื่อได้บรรลุถึงขั้นนี้แล้ว ความกระหายในทางกามารมณ์ย่อมหมดไปสิ้นไปพร้อมกับ ความทุกข์ทรมานทางกายและทางจิต  ซึ่งเกิดมาจากความกระหายนั้น  ดังนั้น ท่านจึงเรียก “ปิปาสวินโย” คือ การทำลายความกระหายเสียได้
เมื่อได้บรรลุถึงขั้นนี้ วงจักรแห่งภพทั้ง ๓ คือ สังสารวัฎย่อมถูกตัดไป คือการตัดวัฎจักรแห่งการเกิดและการตาย
เมื่อได้รับอิสรภาพดังนี้แล้ว ความทะยานอยากเพื่อสนองตัณหาทุกรูป แบบตลอดถึงความโน้มเอียงเพื่อมีชีวิตอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงย่อมหมดสิ้นไป เหือดแห้งไปและไม่มีอีกต่อไป  ดังนั้น จึงมีความสิ้นตัณหาความปราศจากความกำหนัด และ ความดับตัณหาในที่สุด
ท่านเรียกตัณหาว่า “วานะ” เพราะผูกมัดเข้าด้วยกัน และเย็บเข้าด้วยกัน ซึ่งความมีความเป็นทุกอย่างจากระดับต่ำถึงระดับสูง จากระดับสูงถึงระดับต่ำ และเรียกการออกไปคือ การหนีไปจากตัณหานั้นว่า “นิพพาน” หรือ “นิรฺวาณ” ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เมื่อพิจารณาคำเหล่านี้แล้วพระสาวกควรเพ่งพิจารณาพระนิพพานซึ่งท่านกล่าวว่า “เป็นสภาพสงบ” หรือ “อุปสมะ” ในขณะที่ระลึกถึงคุณลักษณะตามที่ได้อธิบายข้างบนนี้พระสาวก ควรระลึกถึงพระนิพพานในด้านบวกตามที่ท่านกล่าวไว้ในพระสูตรทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ตถาคตขอสอนเธอทั้งหลายให้รู้เรื่องอสังขตธรรม และสัจจธรรม  ซึ่งอยู่ฝั่งอื่น  ไม่มีความแก่  ไม่มีความตาย  มีความมั่นคง  มีความ สุข  มีความบริสุทธิ์  มีเกาะที่พึ่งที่อาศัย  มีความต้านทาน  มีที่หลีกเร้น  ตถาคตขอสอนอสังขตธรรม แก่เธอทั้งหลาย
เมื่อพระสาวกรู้ความหมายของคำเหล่านี้ ควรจะเพ่งพิจารณาคำเหล่านี้ซ้ำๆ ทั้งทางวาจา และทางจิต ตามหนังสือคู่มือพระโยคาวจร คำว่า “นิโรธ” ควรเริ่มกล่าวซ้ำตั้งแต่ต้นปฏิบัติ   เมื่อพระพระสาวกระลึกถึงพระนิพพานตามคุณ ลักษณะต่างๆ เช่นนั้น นิวรณ์ทั้ง ๕ ย่อมสิ้นไป จิตของเขาจะไม่ถูกตัณหาครอบงำ ทั้งโทสะและโมหะก็สิ้นไป  ในขณะนั้นจิตของเขาผู้นั้นย่อม อาจหาญในการระ ลึกถึงความสงบเช่นเดียวกับในอนุสสติอย่างอื่นองค์แห่งปฐมฌานย่อมเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน  แต่เนื่องจากความลึกซึ้งแห่งคุณลักษณะของอุปสสมะฌานย่อมไม่พัฒนาไป ถึงขั้นอัปปนา แต่จะถึงระดับสูงสุดในขั้นอุปจาร ภาวะแห่งฌานขั้นนี้เรียกว่า “อุปสมานุสสติ”
ผู้ที่อุทิศตนเพื่อการเจริญสมาธิโดยพิจารณาอุปสมะ ย่อมหลับอย่างมีความ สุขตื่น อย่างมีความสุข อายตนะทั้งหลายของเขาจะสงบ จิตของเขาจะสงบ มีศรัท ธาแรงกล้า มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว ย่อมได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย  ถ้ายังไม่บรรลุพระนิพพานในชาตินี้ เขาก็จะได้รับความสุขอย่างแน่ นอนในชาติหน้า

No comments:

Post a Comment