บทที่ ๑๐
สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเจริญสมาธิ
คัมภีร์พระไตรปิฎกให้ข้อมูลแก่เราว่าพระสาวกในยุคแรกๆ ได้เลือกสถานที่สำหรับอยู่อาศัย
๙ ประเภท โดยพิจารณาว่าสถานที่เหล่านี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญสมาธิ สถานที่
ดังกล่าวทั้งหมดท่านกล่าวไว้ในข้อความต่อไปนี้
![]() |
Image from https://commons.wikimedia.org/wiki/File:BuddhaShakyamuni.jpg |
ทั้งหมดที่กล่าวนี้จัดอยู่ในประเภทที่สงัดสำหรับฤๅษี
และบางอย่างจะต้องเลือกตามสภาพของอากาศและสภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติ หรืออารมณ์เฉพาะตัวของผู้ปฏิบัติ
ประเภทของที่อยู่อาศัยที่กำหนดไว้ว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน
คือป่า โคนต้นไม้หรือบ้านที่ว่าง
แต่ผู้ที่ถือธุดงควัตรเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไม่ควรอยู่ภายใต้ที่กำบัง
ในบรรดาธุดงค์ที่กล่าวไว้ในพระวินัย และพระคัมภีร์ในวิสุทธิมรรคนั้น สถานที่ ๔
แห่ง คือป่า โคนต้นไม้ กลางแจ้ง และป่าช้า
ท่านกล่าวว่าเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่อยู่เหล่านี้
มีประโยชน์พิเศษสำหรับพระโยคีบุคคลทั้งหลาย
๑. การอยูในป่า
ตามที่ท่านอธิบายไว้ในพระคัมภีร์วินัย ป่าแห่งหนึ่งๆ
ย่อมรวมไปถึงทุกที่อยู่นอกหมู่บ้านและนอกบริเวณหมู่บ้านพระคัมภีร์อภิธรรมกล่าวไว้ว่าป่าเริ่มขึ้นเมื่อเราผ่านพ้นเขตบ้านไปแล้ว
แต่เกี่ยวกับการประพฤติพรตตามที่เขาได้ศึกษาจากพระสูตร ที่อยู่ในป่าได้แก่ที่ซึ่งอยู่ห่างจาก
เขตบ้านชั่วลูกธนูจาก ๔๐๐ ลูก
ประโยชน์จากการอยู่ในป่ามีดังต่อไปนี้ พระภิกษุผู้อยู่ในป่าสามารถฝึกสมาธิได้ง่าย
หรือพัฒนาสมาธิที่ได้แล้วให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นอย่างง่าย
ยิ่งกว่านั้นครูของเขาย่อมยินดีพอใจ เขาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงยินดีและตรัสว่า
“ตถาคตยินดีชีวิตในป่าของพระภิกษุนามว่า นาคิตะ”
จิตของผู้อยู่ป่าไม่ถูกอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนามารบกวน โดยเหตุที่เขาดำรงชีพอยู่ด้วยคุณธรรม
คือความบริสุทธิ์แห่งศีล เมื่อยู่ในป่าเขาย่อมจะไม่ถูกความกลัวมาครอบงำ
อย่างที่ผู้มีวาจา การกระทำและความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ถูก (ความกลัวครอบงำ)
ท่านกล่าวไว้ใน ภยเภรวสูตรว่าดังนี้ “สลัดเสียซึ่งความทะยานอยากในชีวิต
พระโยคีบุคคลย่อมได้รับความสุข อันเกิดจากสงบและความสงัด”
ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังต่อไปนี้
“พระภิกษุผู้สันโดษไม่ยึดมั่น ยินดีในที่สงัดย่อมเป็นที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้าด้วย
การอยู่ในป่า เมื่ออยู่ผู้เดียวในป่า เขาย่อมได้รับความสุขซึ่งแม้แต่เทวดาและพระอินทร์ก็ยังไม่สามารถได้รับ
เขาใช้ผ้าบังสุกุลปิดคลุมร่างกายเหมือนเสื้อเกราะ เข้ามาอยู่ในป่าอันเป็นสนามรบมีอาวุธ
คือปฏิญญาของนักพรต ในไม่ช้าเขาย่อมรบชนะหมู่มารและเสนามาร ดังนั้นผู้ฉลาดควรยินดีในการอยู่ในป่า”
๒. การอยู่ที่โคนต้นไม้
ผู้ปฏิบัติผู้เลือกโคนต้นไม้เป็นที่อยู่อาศัยควรเลี่ยงต้นไม้บางประเภทคือต้นไม้ซึ่งอยู่
ณ เขตแดนประเทศ ๒ ประเทศ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เช่นต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ที่มียาง
ต้นไม้ที่มีผล ต้นไม้ที่มีศ้างคาวอาศัยอยู่ ต้นไม้ที่กลวง หรือต้นไม้ที่งอกขึ้นท่ามกลางวิหาร
คัมภีร์พระวินัยกล่าวว่า “รุกขมูล-เสนาสนํ ปพฺพชฺชา” = การบวช (ของท่าน)
อาศัยที่อยู่คือโคนต้นไม้ เพราะว่าการอยู่ใต้ต้นไม้เป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับภิกษุ
อนึ่ง โคนต้นไม้เป็นที่อยู่ที่ดีที่สุด เพราะหาได้ง่ายมากและปราศจากโทษ
(ในเรื่องการดูแลรักษา การปฏิบัติหน้าที่ หรือการเอาใจใส่) การอยู่ที่โคนต้นไม้ช่วยให้เกิดอนิจสัญญาได้ง่าย
โดยให้ตัวอย่างในการเปลี่ยนแปลงของใบไม้ ลดมลทินคือความอยากอันมีในที่อยู่ เป็นเพื่อนให้รุกขเทวดา
และบำเพ็ญ คุณธรรมของนักพรต คือการอยู่อย่างง่ายๆ ให้บริบูรณ์ ซึ่งมีข้อความย่อดังต่อไปนี้
สำหรับผู้ที่อยู่คนเดียว ที่อยู่อันใดหนอจะดีที่สุดเหมือนโคนต้นไม้ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรง
สรรเสริญว่าเป็นปัจจัยที่ดีที่สุดในบรรดาปัจจัยทั้งหลาย?
เป็นที่ที่มีระเบียบ, เปลี่ยว, และเทวดาคุ้มครอง
เขาย่อมปราศจากมลทิน คือความอยากในที่อยู่
ตึกสีแดงเข้ม งาม ย่อมเปลี่ยนเป็นสีเขียว และแล้วน่าเบื่อในทันที
ผู้ปฏิบัติเห็นใบไม้หล่น ซึ่งสอนให้เขาเห็นกฎของการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ผู้ฉลาดย่อมสรรเสริญที่เปลี่ยวที่โคนต้นไม้
ซึ่งเป็นบ้านของผู้เจริญสมาธิ เป็นมรดกของพระพุทธเจ้า” (วิสุทธิมรรค)
๓. การอยู่ในที่กลางแจ้ง
พระสาวกผู้ปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้หลังคา และใต้ต้นไม้ ควรอยู่ในสนามกลางแจ้ง
ในที่กลางแจ้ง ในที่กำบังทำด้วยใบไม้หรือในเต็นต์ หรือในหุบเขาโล่งแจ้ง เมื่อจะเอ่ยถึงชีวิตแบบนี้
เราอาจจะอ้างคำพูดในคัมภีร์สังยุตตนิกาย ดังนี้ “เปรียบประดุจกวางซึ่งเดินไปโดยปราศจาก
ความกังวล พระภิกษุผู้ไม่มีบ้านที่อยู่ย่อมดำรงชีพอยู่อย่างปราศจากเครื่องผูกพัน
ประโยชน์อันเกิดจากการอยู่ในที่แจ้งมีดังนี้คือ ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น
ไม่ต้องกังวล และไม่ต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับที่อยู่ในบ้าน ขจัดความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ
ได้มีโอกาสไป ณ ที่ใดก็ได้ตามความปรารถนา
มีชีวิตที่เรียบง่ายแบบนักพรต ชีวิตแบบนี้ท่านอธิบายไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังนี้
พระภิกษุย่อมดำรงชีพแบบเรียบง่ายไม่มีบ้านเรือน
อยู่ภายใต้หลังคาคือท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
อยู่ในสนามกลางแจ้งมีแสงจันทร์ส่องสว่าง
เขาขจัดความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจเสียได้
เขามีความยินดีเจริญสมาธิด้วยจิตที่ว่าง
ในไม่ช้าเขาย่อมได้รับความสุขอันเกิดจากความสงบสงัด
ดังนั้น ผู้ฉลาดทั้งหลายควรดำรงชีพอยู่แบบนี้
๔.
การอยูในป่าช้า
การอยู่ในป่าช้าเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เจริญอสุภกัมมัฏฐาน หรือมรณา นุสสติกัมมัฏฐาน
แต่ในบรรดาที่อยู่ประเภทต่างๆ ป่าช้าเป็นที่อยู่ที่ยากและเสี่ยงอันตรายที่สุด พระสาวกผู้เลือกการอยู่ป่าช้า
ควรแจ้งประธานคณะสงฆ์ หรือหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อให้ช่วยป้องกันอันตรายซึ่งอาจเกิดขึ้นแก่ตน
ในช่วงกลางวันเขาควรสังเกตอารมณ์กัมมัฏฐาน เช่น ซากศพที่พองขึ้นเป็นต้น
เพื่อจะได้ไม่เป็นสี่งที่น่ากลัวในเวลากลางคืน ในขณะที่เดินไปมา
เขาควรมองดูศพที่กำลังไหม้อยู่ด้วยตาที่ลืมขึ้นครึ่งหนึ่ง (ตาหรี่)
เขาควรงดฉันอาหารบางอย่าง เช่น เนื้อทอด ปลาทอด แป้งทอด
ซึ่งเป็นที่ชอบใจสำหรับมนุษย์ธรรมดาสามัญ
การอยู่ในป่าช้ามีประโยชน์ดังต่อไปนี้ คือทำให้ระลึกถึงความตายเสมอ
มีสัญญาเรื่อง ความเน่าเปื่อย มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง
มีการขจัดเสียได้ซึ่งกามราคะ มีการสังเกต ธรรมชาติของร่างกายได้ตลอดเวลา
ไม่มีความหยิ่งในชีวิต ชนะความกลัวและความตกใจ เป็นต้น
ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า
“ด้วยอำนาจแห่ง มรณานุสสติ (การระลึกถึงความตายเป็นประจำ)
พระสมณะผู้อยู่ในป่าช้าย่อมไม่ได้รับความกระทบกระเทือน จากโทษแห่งความประมาท
เพราะเหตุที่เขาเพ่งพิจารณาศพจำนวนมาก ใจของเขาจึงไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา ความรู้สึก
เกลียด (ในสังขาร) ของเขาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เขาไม่หยิ่ง
เขาพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อปลดเปลื้องตนเอง พระนิพพานเป็นเป้าหมายซึ่ง เขาควรบรรลุ
แม้กระนั้นนักปราชญ์ทั้งหลายผู้ปรารถนาจะบรรลุ
จุดมุ่งหมายนี้ควรดำเนินชีวิตแบบนี้”
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถจะอยู่ในที่อยู่ดังกล่าวนี้
ก็อนุญาตให้อยู่ในวัดหรืออาวาสได้เพื่อปฏิบัติตามพระวินัย แต่จากพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
เราได้เรียนรู้ว่ามีวัดที่ไม่เหมาะสมกับ การเจริญสมาธิ อยู่ ๑๘ ประเภทคือ
๑. วัดที่กว้างใหญ่ ซึ่งจะพบบุคคลจำนวนมากผู้มีแนวความคิดต่างกัน
เป็นวัดที่ไม่สมควรสำหรับเจริญสมาธิ เพราะผู้ปฏิบัติคนหนึ่งๆ
อาจต้องทอดทิ้งหน้าที่ต่างๆ โดยอาศัยความขัดแย้งระหว่างกัน
และการที่จะทำหน้าที่เหล่านั้นให้สมบูรญ์ ผู้ปฏิบัติจะไม่มีเวลาให้กับ
การเจริญสมาธิ และ นอกจากนี้จะมีสิ่งรบ-กวนอยู่ตลอดเวลา
๒. วัดที่สร้างขึ้นใหม่ ในวัดเช่นนี้ย่อมมีงานที่จะต้องทำมากมาย
โดยผู้ร่วมห้องจะต้องช่วยกันทำ และถ้างานเช่นนี้ถูกทอดทิ้งไว้โดยไม่มีคนทำ
ตามหลักพระวินัย พระสาวกจะต้องถูก ตำหนิ
๓. ที่รกร้าง ในการอยู่ในที่รกร้าง ผู้ปฏิบัติจะพบว่ามีงานที่จะต้องซ่อมแซมมาก
และถ้าทอดทิ้งงานเช่นนั้น เขาจะต้องถูกตำหนิ แต่ถ้าเขาทำการซ่อมแซมดังกล่าว
เขาก็จะต้อง ทอดทิ้งการเจริญสมาธิ
๔. ที่ที่มีบ่อน้ำและน้ำพุ ในที่ดังกล่าวประชาชนใช้บ่อน้ำและน้ำพุ
และผู้เจริญสมาธิจะได้รับการรบกวนจากประชาชนเหล่านั้น
๕. วัดซึ่งอยู่ใกล้ทางหลวง ในวัดเช่นนี้ ผู้เดินทางอาจมาทั้งกลางคืน และกลางวัน
ในการสนองความต้องการของคนเหล่านั้นตามหน้าที่เจ้าถิ่น ผู้ปฏิบัติจะไม่มีเวลาเจริญสมาธิ
๖. ที่ที่มีสมุนไพรนานาชนิด ในที่เช่นนี้ผู้ปฏิบัติจะได้รับการรบกวนจากประชาชนผู้มาหาสมุนไพรดังกล่าว
๗. วัดที่มีสวนดอกไม้ ในที่เช่นนี้ผู้ปฏิบัติจะได้รับการรบกวนจากประชา-ชนผู้มาเก็บดอกไม้ทั้งหลายในสวนนั้น
๘. วัดที่มีผลไม้ต่างๆ เช่น มะม่วง ชมพู่ ขนุน ในวัดเช่นนี้ผู้ปฏิบัติจะได้รับการรบกวน
จากประชาชนผู้มาขอผลไม้ หรือจะได้รับการรบกวนจากเด็กๆ ผู้มาลักผลไม้เหล่านั้น
๙. วัดที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ ผู้ปฏิบัติที่อยู่ในวัดเช่นนี้จะได้การรบกวนทุกวัน
จากประชาชนผู้มาเยี่ยมสถานที่ดังกล่าว และพบกับพระผู้ดูแลสถานที่โดยนับถือพระองค์นั้นว่าเป็นนักบุญ
เพราะทงานอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
๑๐. วัดที่ตั้งอยู่ในเมือง วัดเช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญสมาธิ เพราะสิ่งแวดล้อมต่างๆ
จะเสนอตัวมันเองเป็นการยั่วให้เกิดกิเลส และอุปสรรคอื่นๆ นานานับประการ
๑๑. วัดที่อยู่ในป่าทึบ ในวัดเช่นนี้พระสาวกอาจได้รับการรบกวนจากผู้ที่มาเก็บฟืน
หรือตัดโคนต้นไม้เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ
๑๒. วัดที่มีทุ่งหญ้าล้อมรอบ หรือมีที่ที่จะเพาะปลูกได้ เพราะชาวนาชาวไร่และคนงาน
อาจรบกวนผู้ปฏิบัติสมาธิได้
๑๓. ที่อยู่ที่ประชาชนมีความเห็นขัดแย้งกัน การอยู่ในสถานที่ที่มีประชา-ชนจำนวนมากมีความเห็นแตกต่างกัน
ขัดแย้งกันและเป็นศัตรูของกันและกัน จะเป็นอุปสรรคต่อการเจริญสมาธิ
๑๔. วัดที่อยู่ใกล้ท่าเรือหรือศูนย์การค้า วัดเช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญสมาธิ
เพราะประชาชนที่ดำเนินการค้าจะมารบกวน และจะทำให้วัดไม่น่ารื่นรมย์
๑๕. วัดที่ตั้งอยู่ในระยะทางห่างไกลซึ่งชาวบ้านไม่มีศรัทธาในพระพุทธ-เจ้า
พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า วัดเช่นนี้ไม่เหมาะสม เพราะผู้ปฏิบัติจะได้ปัจจัยและสิ่งจำเป็นอื่นๆ
อย่างลำบาก
๑๖. วัดที่ตั้งอยู่ที่เขตแดนของอาณาจักร ๒ อาณาจักร วัดเช่นนี่ใม่เหมาะ-สม
เพราะจะมีอันตรายด้านการเมืองมารบกวน
๑๗. วัดที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา และมีวิญญาณร้ายหลอกหลอน วัดเช่นนี่ไม่เหมาะสม
เพราะจะมีอันตรายและภัยพิบัตินานาประการ
๑๘. วัดที่ไม่มีครูหรือกัลยาณมิตร วัดเช่นนี้ไม่เหมาะสม เพราะผู้ปฏิบัติจะไม่ได้รับคำแนะนำที่จำเป็น
จึงถือว่าเป็นข้อเสียหายที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
ดังนั้น สถานที่ที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นที่ที่ไม่เหมาะสม เพราะมีข้อเสียมากมาย
ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอุปสรรคในการเจริญสมาธิถ้าสถานที่ดังกล่าวนี้บังเอิญปราศจากอุปสรรคทั้งหลาย
ก็อาจเป็นสถานที่ที่เหมาะสมได้ อนึ่งพระสาวกควรเลี่ยงสถานที่ดังกล่าวแล้วนี้
แล้วแสวงหาที่อยู่ซึ่งมีคุณสมบัติ ๔ อย่างดังต่อไปนี้
๑. สถานที่ที่ไม่ไกลหรือไม่ใกล้หมู่บ้านเกินไป
๒. สถานที่ที่ไปมาง่าย
๓. สถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่านในเวลากลางวัน
๔. สถานที่ที่เงียบสงบในเวลากลางคืน ปราศจากการรบกวนจากสัตว์เช่น หนู นก เป็นต้น
และหาสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตได้ง่าย
๕. สถานที่ที่มีเพื่อนเป็นคนดี
การได้ที่อยู่ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่าง เหล่านี้ เรียกว่า อาวาสสัปปายะ
และเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับความสำเร็จในการเจริญสมาธิ
พระสาวกผู้เสียสละสมบัติทางโลกทุกอย่าง แสะดำเนินชีวิตตามแนวทางพระพุทธศาสนา
หลังจากเลิกละสภาพของผู้ครองเรือนแล้ว ควรแสวงหาสถานที่ที่น่ารื่นรมย์ สงบสงัด
ประกอบ ด้วยคุณสมบัติดังได้อธิบายแล้วข้างบนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม
ผู้ที่ยังคงอยู่ในสภาพของผู้ครองเรือน แต่ปรารถนาที่จะเจริญสมาธิก็ควรพยายามที่จะนำไปสู่สมาธิเช่นสถานที่อันเปลี่ยว
เป็นต้น เมื่อไม่สามารถหาที่เปลี่ยวได้ ก็ควรสละห้องเอกเทศสักห้องหนึ่งในบ้านของตน
เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้
สถานที่พิเศษที่ได้อธิบายไว้แล้วว่าเหมาะสมสำหรับการเจริญสมาธินั้นมีข้อ สังเกตพิเศษ
เพราะสถานที่ดั่งกล่าวให้ประโยชน์ที่แน่นอนแก่ผู้ที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจากกิเลส
แต่ผู้แสวงหาทางหลุดพ้นด้วยความจริงใจ ผู้เป็นพระสาวกผู้เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เขาก็หาที่ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญสมาธิของเขาจนได้
สารบัญ