บทที่ ๖
ศีลวิสุทธิ
เพราะสมาธิเป็นวิถีทางที่จะนำไปสู่ความหมดจดแห่งจิต สมาธิจึงเป็นธงชัยที่จะได้ ความบริสุทธิ์แห่งศีล ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับสมาธิ คุณภาพที่แท้จริงของศีลตาม คำสอนในพระพุทธศาสนาอยู่ที่ว่า ศีลนั้นย่อมชำระจิตให้ปราศจากความโน้มเอียงไปทางฝ่ายต่ำ และ ชำระจิตให้สะอาด เพื่อสร้างความสว่างภายในคือความรู้ที่แท้จริงขึ้นมา จิตซึ่งตามสภาพเดิมของตนมีลักษณะไม่แน่นอนยอมจำนนต่อสิ่งยั่วยุทุกอย่างในโลก และต่อความอยากตาม สัญชาตญาณฝ่ายต่ำนั้น เป็นธรรมชาติที่ควบคุมยากเมื่อมีสิ่งกระตุ้นฝ่ายสูงปรากฎขึ้นครั้งแรก ซึ่งเป็นเสมือนแขกแปลกหน้าผู้ไม่มีอำนาจใดๆ โดยเหตุที่สมาธิเป็นวิถีทางที่จะก้าวข้ามวิญญาณสามัญไปสู่สภาพที่สูงขึ้น จึงจำเป็นจะต้องมีการฝึกฝนและใช้ระเบียบวินัยในอดีตมาบังคับวิญญาณฝ่ายต่ำ และจำกัดกิจกรรมของมันจนกระทั่งยอมจำนนต่อทิศทางแห่งจิตที่สูงขึ้น เพื่อจุดหมายข้อนี้เราจะต้องทำจิตให้มีเครื่องประดับคือคุณธรรมที่สูงขึ้น ซึ่งได้แก่ ศรัทธา สติ พละ และปัญญา และจะต้องประดิษฐานคุณธรรมเหล่านี้ไว้ในตำแหน่งที่จะไม่มีปรปักษ์ใดๆ มา ทำลายได้ ในแผนการฝึกฝนอบรมตนตามหลักพุทธศาสนา เราพบว่าการฝึกฝนตนในศีลเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นเพื่อบรรลุความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ดังนั้นในเบื้องต้นพระสาวกควรรักษาศีลอันเป็นการฝึกเบื้องต้นให้สมบูรณ์อย่างแท้จริง เพราะศีลเป็นขั้นต้นของวัฒนธรรมทางศาสนาที่สูงขึ้น ในพระคัมภีร์สังยุตตนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า “อะไรเป็นขั้นต้นของ คุณธรรมที่สูงขึ้น ?” ศีลที่บริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นขั้นต้นของคุณธรรมที่สูงขึ้น
ศีลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญสมาธิ เพราะศีลเป็นยารักษาความเดือดร้อนและความหวั่นไหวแห่งจิต ความเดือดร้อนและความหวั่นไหวแห่งจิตเป็นข้าศึกต่อสมาธิ เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ผลและอานิสงส์แห่งศีล คือความ ปราศจากความเดือดร้อน” ยิ่งกว่านั้น ในอากังเขยยสูตร ท่านกล่าวไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ใดปรารถนาจะได้บรรลุฌาน อันลึกซึ้ง เหนือวิสัยมนุษย์ เป็นวิญญาณขั้นสูง อันจะนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุข ให้ภิกษุนั้นรักษาศีลให้บริสุทธิ์ถ้าปรารถนา ความสงบ อิทธิฤทธิ์ ปัญญา ที่สูงขึ้น และการดับอาสวะทั้งหลาย ให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์”
ศีลซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นฐานในพระพุทธศาสนาย่อมบ่งบอกถึงคุณสมบัติที่ดี ซึ่งรวมอยู่ในคำสอนประเภทศีลธรรมและจรรยา เมื่อกล่าวอย่างเคร่งครัดแล้ว ศีลประการแรกทีเดียว ประกอบด้วยความมีสติ ซึ่งสร้างขึ้นโดยการงดเว้นความประพฤติที่ขาดศีลธรรม และประการที่ ๒ ประกอบด้วยความคิดซึ่งสัมพันธ์กับการรักษากฎซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์แห่งศีล ศีลมีลักษณะเด่น ๒ อย่าง คือ
๑. สมาทานะ หมายถึง การรวมจิต และความคิดไว้ด้วยกัน
๒. อุปธารณะ หมายถึง การสนับสนุนหรือการยึดคุณสมบัติที่ดีไว้ด้วยกัน
ลักษณะของศีล ๒ อย่าง คือลักษณะลบและลักษณะบวก ท่านกำหนดไว้อย่างเด่นชัด ในทุกแง่มุมแห่งชีวิตทางศาสนา และทางจริยธรรม ในแง่มุมลบท่านเน้นการเว้นจากบาปทั้งหลาย (ซึ่งเป็นข้อห้าม) และ แง่มุมบวกท่านเน้นความจำเป็นในการสะสมความดี และการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วงไป พระสูตรทุกสูตรซึ่งท่านวางไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับศีลทั้งหลายมีลักษณะ ๒ อย่างเหล่านี้ เช่น ข้อความที่ว่า
“๑. เขางดเว้นการฆ่าสัตว์ วางตระบองและดาบไว้ข้างๆ
๒. เขามีความเมตตาและกรุณา ดำรงชีพอยู่เพื่อประโยชน์และความสุขของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย”
ในตอนแรกของสูตรนี้ ท่านสอนให้คนเว้นจากการฆ่าสัตว์ทั้งหลาย ตอนที่สองสอนให้ คนรักสัตว์ทั้งปวง และสนับสนุนให้เขามีความสุข ดังนั้นแง่ลบจึงมาก่อนแง่บวก แต่โดยทั่วไปแล้ว ทั้งสองอย่างอาศัยซึ่งกันและกัน คุณธรรมแง่ลบเป็นเบื้องต้นและเตรียมฐานะที่เหมาะสม สำหรับคุณธรรมแง่บวก แง่ลบมีคุณค่าในด้านถอนจิตออกจากวัตถุอื่นๆ ที่ไม่ใช่ความดี และแง่ดีย่อมรวบรวมจิตทั้งดวงเพื่อว่าจะได้บำเพ็ญประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ ดังนั้นการขจัดสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา เช่น ความโลภ ความพยาบาท เป็นต้น ออกไป และการสะสมทาน การบำเพ็ญประโยชน์ ไมตรีจิต เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะต้องเข้าใจในความหมายทั่วๆ ไป ของคำว่า “ศีล” และทุกแห่งท่านเน้นถึงความสำคัญ ของศีลว่าเป็นการเตรียมตัวที่จำเป็นสำหรับ พระสาวกผู้เจริญสมาธิ
การสมาทานศีลจะแตกต่างกันไปตามแบบการดำเนินชีวิตของพระสาวก และในส่วนที่เกี่ยวกับชีวิตของสมณะ ในสามัญญาผลสูตร ท่านกล่าวถึงขั้นตอนการฝึกเบื้องต้นไว้ ๔ ขั้นตอน ดังนี้
๑. ศีละ การสงบกายวาจา
๒. อิทรยสังวระ การสำรวมอินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๓. สติสัมปชัญญะ ความระลึกได้และความรู้สึกตัว
๔. สันตุฏฐิ ความพอใจตามความเหมาะสม
ตามที่ท่านกล่าวไว้ในพระสูตร การฝึกฝนอบรมที่มีมาก่อนในหลักทั้ง ๔ นี้ ก่อให้เกิด รูปแบบของการฝึกฝนทางศีลธรรม ซึ่งจำเป็นจะต้องมีมาก่อนสมาธิ มีคำอธิบายเกี่ยวกับหลัก ทั้ง ๔ นี้ อย่างกว้างขวางในนิกายทั้งหลาย และการฝึกฝนที่เป็นระบบท่านกล่าวไว้ในทันตภูมิสูตร ในอรรกถาทั้งหลาย ท่านกล่าวถึงการฝึกฝนจิตให้มีศีลโดยทั่วๆ ไปในหัวข้อต่อไปนี้
๑. ปาฎิโมกขสังวระ การสำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์
๒. อินทรยสังวระ การสำรวมระวังอินทรีย์
๓. อาชีวปาริสุทธิ การมีการครองชีพที่บริสุทธิ์
๔. ปัจจัยสันนิสสิตะ การมีปัจจัยบริสุทธิ์
พระคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้อธิบายหลักทั้ง ๔ นี้โดยละเอียดในตอนที่กล่าวถึงความบริสุทธิ์แห่งศีล ซึ่งจะต้องมีก่อนสมาธิอันเป็นวิธีการพัฒนาจิต
ปาฎิโมกขะ
กฎและระเบียบในการฝึกฝนตนให้มีศีล ซึ่งท่านกล่าวไวัในนิกายทั้งหลายว่าเป็นหลักพื้นฐานของการดำรงชีพตามหลักพุทธศาสตร์นั้น ท่านอธิบายไว้ในพระวินัยปิฎก ในตอนที่ว่าด้วยหลักพิเศษคือข้อห้ามและข้อควรทำ ซึ่งจะควบคุมการเป็นอยู่ในวัดวาอาราม ซึ่งมุ่งหมายให้เป็นการเตรียมตัวเพื่อการดำรงชีพของผู้เข้าฌาน กฎเหล่านี้เรียกว่าปาฎิโมกข์ และทั้งหมดมี ๒๒๗ ข้อด้วยกัน การฝึกฝนอบรมตนในปาฏิโมกข์ทั้งหมดนี้ย่อมก่อให้เกิดความบริสุทธิ์แห่งศีล ซึ่งสรุปรวมลงในหลัก ๓ อย่าง คือสัมมาวาจา สัมมากัมมนตะ และ สัมมาทิฏฐิ พระสาวกผู้ปฏิบัติตนตามหลักทั้ง ๓ นี้ ย่อมได้รับพลังที่เพียงพอสำหรับความบริสุทธิ์แห่งศีล
เมื่อเขาสมาทานศีลอย่างสมบูรณ์ด้วยความเชื่อมั่นและความเคารพต่อศีลในพระปาฎิโมกข์ ไม่ยอมละเมิดศีลแม้จะต้องเสี่ยงต่อชีวิต
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า “ในการปฏิบัติตามพระปาฏิโมกข์ให้ บริสุทธิ์ขอให้ชีวิตจงถูกทำลายไป จงอย่าละเลยหลักแห่งคุณธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าพระบรมครู ของโลกได้ทรงบัญญัติไว้”
การสำรวมอินทรีย์
เมื่อพระสาวกผู้ปฏิบัติตนด้วยความเคารพต่อพระปาฎิโมกข์ได้บรรลุถึงความเป็นผู้มี ศีลบริสุทธิ์ พระสาวกนั้นจะต้องควบคุมอินทรีย์ของตน เพราะว่าการฝึกฝนอบรมตนในการ ควบคุมตนเองนั้นเป็นเรื่องจำเป็นในการรักษาไว้ซึ่งศีลธรรม เมื่อชีวิตของคนเรามีระเบียบวินัย จิตที่มีสภาพสูงขึ้น ย่อมมีความรับผิดชอบและอิทธิพลของจิตดังกล่าว จะตั้งมั่นและมีปรากฎใน การกระทำซึ่งทำไปตามกฎนั้นๆ จิตที่ไม่ตั้งมั่นในสติในเรื่องการสำรวจอินทรีย์ทั้งหลายอาจถูก สิ่งยั่วเย้าภายนอกมารบกวน สิ่งยั่วเย้าเหล่านี้อาจทะลวงเข้าไปในจิตผ่านประตูคืออายตนะ และพิสูจน์แหล่งที่มาแห่งความชั่วทั้งหลายเมื่อจิตสละออกจากธรรมชาติฝ่ายต่ำและเป็นธรรมชาติที่ตี่นเต้นได้อย่างง่ายแล้ว จิตย่อมไม่ทำสิ่งใดๆ ที่ไม่น่าปรารถนาไม่ว่ากรณีใดๆ ในขั้นนี้เอง พระสาวกสามารถควบคุม ความคิดของตนได้ พระสาวกจะสามารถมีอำนาจควบคุมความคิดได้ก็โดยการเหนี่ยวรั้ง และการควบคุมอย่างเต็มที่ซึ่งอายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ และพฤติกรรม ของอายตนะเหล่านี้ เมื่อพระสาวกถอนจิตออกจากวัตถุภายนอกทั้งหลาย และมีสติคอยควบคุม อยู่ก็เป็นที่แน่นอนว่า จะควบคุมอายตนะภายในของตนได้ และแล้วความบริสุทธิ์อันเกิดจาก การสำรวมในพระปาฎิโมกข์ก็ย่อมจะได้รับการรักษาไว้ได้อย่างดี
“จงควบคุมอายตนะภายในอย่าให้ติดอยู่กับวัตถุภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เมื่อพบประตูที่ปิดและที่ได้รับการคุ้มครองอย่างดี สิ่งเหล่านี้จะหลีกหนีไปจากท่าน เหมือนโจรหนีหมู่บ้านที่มีการคุ้มครองอย่างดีฉะนั้น”
อาชีวบริสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งการคุรองชีพ)
พระสาวกผู้มีความชำนาญในการฝึกฝนตนในพระปาฎิโมกข์ เมื่อควบคุมพฤติกรรม ทางร่างกายและทางจิต ย่อมมีชีวิตที่บริสุทธิ์และดีเลิศ ในกรณีนี้เขาจะเว้นจากวิถีทางการดำรงชีพที่ผิด ซี่งทำให้เขาละเมิดกฎที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อให้มีอาชีพอันบริสุทธิ์ เขาจะหลีกเลี่ยงเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายทั้งสิ้นเลี่ยงคำพูดที่โอ้อวด การพูดกระทบกระเทียบ เปรียบเปรย และวิถีทางผิดๆ ทั้งหลายเพื่อสนองความต้องการประจำวัน อาชีวปสุทธิเป็น ธรรมจำเป็น สำหรับพระสาวกผู้ปรารถนาจะเจริญสมาธิ บุคคลจะมีอาชีวบริสุทธิได้ก็โดยอาศัย ความพยายามที่จะงดเว้นการดำรงชีพที่ผิด และอาศัยปัจจัยทั้งหลายซึ่งได้มาอย่างถูกต้อง เมื่อพระสาวกผู้ไม่ตั้งใจรักษากฎและระเบียบทั้งหลายได้รับสิ่งที่ต้องการต่างๆ จากชุมชนหรือ จากทายกผู้เลื่อมใสในการปฏิบัติของตน การดำรงชีพที่ได้มาดังนั้นของพระสาวก อาจถือว่า เป็นการดำรงชีพที่บริสุทธิ์ได้แต่ปัจจัยทั้งหลายที่ได้มาจากบิณฑบาดตามหลักในพระพุทธศาสนา เป็นปัจจัยที่บริสุทธิ์ และเหมาะสมอย่างแท้จริงสำหรับผู้ที่เป็นอนาคริก คือไม่ครองเรือนปชฺจยปริสุทฺธิ (ความบริสุทธิ์แห่งปัจจัย)
พระพุทธเจ้าทรงดำเนินการอบรมพระสาวกตามแนววิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และความประจักษ์อันเกิดจากการทดลอง เป็นวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติเสมอมา เพราะพระองค์ ทรงทดสอบการใช้ระบบต่างๆ ด้วยการปฏิบัติจริง พระองค์ทรงแสดงหลักวินัยทางศาสนา อย่างครบถ้วน ทรงคำนึงถึงประสบการณ์ส่วนพระองค์และทรงใช้แม้แต่สิ่งเล็กน้อยซึ่งมีส่วนช่วยได้ ในฐานะเป็นกิจกรรมของวิญญาณที่ลึกซึ้งที่สุด สมาธิจำเป็นต้องมีหลักสูตรที่แน่นอนในการฝึกร่างกายในขั้นแรกเริ่ม เพราะความรู้ที่สูงขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ทางจิตจะปรากฎใน บุคคลได้ก็โดยการพัฒนาจิตซึ่งมีอยู่ในบุคคลนั้นยิ่งกว่านั้น โดยเหตุที่ร่างกายเป็นเครื่องมือสำหรับการแสดงออกซึ่งพลังเช่นนั้น เครื่องมือนั้น หรือองค์กรนั้น ยิ่งมีความสมบูรณ์ก็ยิ่งสามารถแสดงออกซึ่งพลังที่มีอยู่ในมัน ความก้าวหน้าและการบรรลุทุกอย่าง ย่อมแสดงถึงส่วนช่วยเหลือในการพัฒนา และดังนั้นสิ่งที่ต้องการประการแรก คือจะต้องมีร่างกายสมบูรณ์ คือปรับปรุงให้สมบูรณ์และเหมาะสมกับกฎ ทางกายและทางจิต จนถึงกับไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกิเลสและอารมณ์ฝ่ายต่ำมากระทบ ดังนั้น สุขภาพทางร่างกายจึงมีส่วนสำคัญต่อชีวิตแบบนี้อย่างมาก
ในเรื่องนี้เอง ที่พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องความบริสุทธิ์ ความยากจน และการเคารพกฎซึ่งพระพุทธเจ้าทรงวางไว้ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของ พระสาวกผู้ดำรงชีพอยู่ตามหลักพระพุทธศาสนา ปัจจัยที่ทรงอนุญาตไว้สำหรับพระสงฆ์ คือจีวร (เครื่องนุ่งห่ม) บิณฑบาต(อาหารที่ได้รับจากการไปบิณฑบาด) เสนาสนะ(ที่อยู่อาศัย) และ เภสัช (ยารักษาโรค)
๑. เครื่องนุ่งห่ม
โยคี หรือ ฤๅษี ในยุคโบราณนุ่งห่มหนังสัตว์ เช่น เสือโคร่ง เสือดาว และกวาง บางคน สวมเปลือกต้นไม้ ในบรรดาพวกที่นับถือศาสนาเชน บางพวกก็เปลือยกายบางพวกก็สวมเสื้อ ผ้าสีขาว พระพุทธเจ้าทรงห้ามสิ่งเหล่านี้ และทรงวางกฎไว้ว่าพระสาวก (ภิกษุ) ของพระองค์ ควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่มีค่าใดๆ ทำขึ้นมาโดยเอาผ้าขี้ริ้วที่เขาทิ้งแล้วมาเย็บรวมกัน ซึ่งเรียกว่า “ผ้าบังสุกุล” ตามศัพท์หมายถึงผ้าที่ได้มาหลังจากปัดดินและฝุ่นออกไป (ตามที่ทรงบรรยายไว้ ในธุดงควัตร) ภายหลังต่อมา พระองค์ทรงประทานเสรีภาพอย่างมาก พระองค์ทรงอนุญาตให้ นุ่งห่มจีวรสีเหลืองหรือสีกรักแบบง่ายๆ โดยการตัดเป็นชิ้นๆ ก่อนและนำมาเย็บเข้าด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายทางการค้า เครื่องนุ่งห่มประกอบด้วยจีวร ๑ ผืน สบง ๑ ผืน และสังฆาฏิ ๑ ผืน เพื่อปกคลุมร่างกายทุกส่วนนอกจากศีรษะ
เครื่องนุ่งห่มเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “กาสาวะ” คือผ้าที่ย้อมฝาด พระภิกษุ และสามเณร ไม่ควรมีมากกว่า ๑ ชุด ซึ่งทรงอนุญาตไว้ตามสภาพร่างกาย พระภิกษุควรมีสมบัติ คือ บริขาร ๘ อย่าง ได้แก่ ไตรจีวร ประคดเอว บาตร มีดโกน เข็มเย็บผ้า และเครื่องกรองน้ำ สิ่งเหล่านี้ เท่านั้นที่จะเป็นสัมภาระที่พระภิกษุจะต้องติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ดุจนกนำปีกของตนไปทุกแห่ง ฉะนั้น ในกรณีพิเศษเฉพาะ พระภิกษุจะมีไม้เท้า ๑ อัน รองเท้า ๑ คู่ เสื่อเล็ก ๑ ผืน และร่ม ๑ คันก็ได้ และควรใช้สิ่งเหล่านี้ด้วยความมีสติระลึกได้ถึงประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ สมดังข้อความที่ท่านกล่าวไว้ข้างล่าง
“ในขณะที่พิจารณาอย่างถูกต้องนั้น พระภิกษุนุ่งสบงทรงจีวร เพื่อขจัดความหนาว ความร้อน และกันเหลือบ ยุง ลม แสงแดด และสัตว์เลื้อยคลาน และเพื่อมิให้เปลือยกาย”
๒. การฉันอาหาร
พระภิกษุผู้อุทิศชีวิตเพื่อเจริญสมาธิควรมีร่างกายที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติ โดยการรับประทานพอประมาณและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงรู้จักประมาณในการฉันภัตตาหาร ในขณะที่พิจารณา อย่างถูกต้องถึงจุดประสงค์ของอาหารนั้น จงรับอาหารไม่ใช่เพื่อความมีเสน่ห์ส่วนตัว ไม่ไช่เพื่อ ความงามส่วนตัว แต่เพื่อดำรงไว้ซึ่งร่างกายเพื่อดับความกระหาย เพื่อช่วยให้ปฏิบัติธรรม โดยพิจารณาดังนี้ ด้วยอาหารนี้ ข้าพเจ้าจะระงับความรู้สึกหิว และไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด (อันเนื่องมาจาการรับประทานโดยไม่รู้จักประมาณ) และข้าพเจ้าจะปราศจากการตำหนิและจะมีความสุข”
ผู้ที่ฝึกตนในการรับประทานอาหารพอประมาณ ย่อมปราศจากนิวรณ์ เนื่องจากความบริสุทธิ์สะอาดแห่งเพดาน ความรู้จักประมาณในการบริโภคอาหารย่อมป้องกันไม่ให้เกิดการทรมานตัวเอง และเป็นหลักประกันในเรื่องความสะดวกสบายในร่างกายในขณะที่รับบิณฑบาต เช่นเดียวกับคนป่วยรับยารักษาโรค เขาย่อมไม่อนุญาตให้กิเลสผ่านเข้าไปในจิตของตน ในขณะที่ได้รับประโยชน์จากร่างกายที่สมบูรณ์ และมีสมดุลดีไม่มีความไม่พอใจ เขาย่อมขจัดความง่วงเหงาหาวนอน และความไม่สบายใจเสียได้ การรับประทานอาหารพอประมาณ ย่อมส่งเสริมความแข็งแรงในร่างกาย ซึ่งมีส่วนร่วมกับความสงบทางจิต ดังนั้นท่านจึงกล่าวไว้ดังนี้ว่า “เมื่อรับประทานอย่างเพียงพอแล้ว ยังรับประทานได้อีก ๔ หรือ ๕ คำ ให้ดื่มน้ำ เพราะว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับภิกษุผู้สละตนเองเพื่อการเจริญสมาธิ”
หลักในการควบคุมอาหารท่านอธิบายไว้อย่างละเอียดในพระไตรปิฎก และท่านวางกฎ ไว้หลายอย่างในพระวินัย มีกฎเกี่ยวกับปริมาณและลักษณะของอาหาร และเกี่ยวกับเวลา และอาการที่จะต้องถือปฏิบัติ การสำรวมในการรับประทานอาหาร ย่อมบ่งบอกถึงมารยาทที่ดีด้วย เพราะมีหลักปฏิบัติว่าพระภิกษุควรหลีกเลี่ยงนิสัยที่น่ารังเกียจและไม่น่าเจริญใจในการ ฉันภัตตาหาร
๓. ที่อยู่อาศัย
ที่ที่เงียบสงัดในป่า ที่โคนต้นไม้ หรือที่อื่นใดที่เปลี่ยว เป็นที่ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จใน การชนะตนเองและบรรลุถึงความสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าเองในขณะที่ทรงแสวงหาทางบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น ประทับอยู่พระองค์เดียวห่างจากโลกภายนอก และทรงใช้เวลา เจริญสมาธิในป่า ในถ้ำและใต้ต้นไม้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ว่าพระองค์ควรแนะนำที่เช่นนั้นแก่พระสาวกของพระองค์ดังต่อไปนี้ “ภิกษุทั้งหลาย มีต้นไม้มากมาย มีที่ที่เปลี่ยวมากมาย จงไป เจริญสมาธิ ณ ที่นั้น” ,
แต่เพื่อประโยชน์สำหรับผู้อื่น พระพุทธองค์ทรงแนะนำที่หลีกเร้นและทรงวางกฎอันเป็นแนวทางที่จะดำเนินการในที่นั้น มีอันตรายหลายอย่าง ซึ่งอาจเกิด ขึ้นแก่พระสาวกผู้อยู่ใน สนามกลางแจ้ง หรือใต้ต้นไม้ หรือในที่กลางแจ้งอื่นๆ ที่เช่นนั้น ไม่มีประตูที่จะคุ้มกันตนจาก อันตรายหรือจากการเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งหลาย ตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้ในพระวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้พระสาวกรับที่อยู่อาศัยที่สมควรและในขณะที่ใช้สถานที่นั้น ควรจะรู้ และพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของสถานที่นั้นๆ โดยตระหนักว่าในที่นั้นไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะทำให้ลำบาก หรือเป็นเครื่องขัดขวางสมาธิของตน
๔. ยารักษาโรค
ในกรณีที่พระสาวกอาพาธ พระสาวกควรฉันยารักษาโรค ตามคำแนะนำของแพทย์ แต่ต้องเป็นไปตามพระวินัย ควรฉันเฉพาะยาซึ่งทำจากแหล่งที่ปราศจากโทษและควรพิจารณา ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของยา คือเพื่อขจัดความเจ็บปวดซึ่งเกิดจากความป่วยไข้และความวิปริตในร่างกาย
ด้วยการใช้ปัจจัย ๔ เหล่านี้ พระสาวกย่อมมีความบริสุทธิ์ในเรื่องปัจจัย ๔ ซึ่งใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นแก่การอยู่ดีกินดีและการเป็นอยู่ที่ปราศจากกิเลสตัณหา
สารบัญ